1 นาที
เมื่อเป็นภูมิแพ้แล้ว ต้องดูแลตัวเองอย่างไรดี ให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่แพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้รอบตัว เนื่องจากคนที่เป็นภูมิแพ้จะมีความ Sensitive ต่อปัจจัยรอบตัวมากกว่าคนที่ไม่เป็นภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ควัน อากาศเปลี่ยนแปลง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ใบไม้ใบหญ้า ที่อยู่รอบตัวเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ทั้งฝุ่น ควัน อาหาร ขนสัตว์เลี้ยง อากาศ เป็นส่วนที่ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาป้องกันต่อระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายตรวจพบสารก่อภูมิแพ้ ก็จะสร้างสารภูมิต้านทาน (Antibody) ที่เรียกว่า IgE (อิมมูโนโกบูลิน อี) เกิดขึ้นเพื่อมาทำลายสารก่อภูมิแพ้นี้ เมื่อ IgE ทำงานก็จะทำการส่งสัญญาณผ่านเซลล์ในร่างกาย ปล่อยฮีสตามีน (Histamine) ออกมา ซึ่งเมื่อฮีสตามีนมีเพิ่มมากขึ้น ก็ส่งผลกลับมาสู่อาการระคายเคืองต่างๆ ของอวัยวะในร่างกายที่เป็นเยื่อบุ เช่น ผิวหนัง จมูก คอ ปอด จนเกิดเป็นอาการแพ้นั่นเอง
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือทำให้เกิดโรคหืด มีอาการไอ แน่นหน้าอก เหนื่อย หอบ หายใจมีเสียงหวีด
มักเกิดผื่นคันแบบลมพิษ หน้าบวม ปากบวม แน่นคอ แน่นหน้าอก เป็นลมหมดสติ ความดันโลหิตต่ำ จนถึงขั้นเสียชีวิต
ทำให้เกิดผื่นแดง ผื่นคันเรื้อรัง ลักษณะผิวแห้งลอก มักเกิดตามข้อพับ แขนขาและลำคอ
มักทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบ มีอาการคันตา เคืองตา ตาแดง ตาบวม
โรคภูมิแพ้ ไม่เพียงแต่เกิดจากสภาพแวดล้อมเท่านั้นนะคะ แต่ยังถือว่าเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ตามสถิติหากพ่อแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ประมาณ 50-70% หากพ่อหรือแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ 30-50% อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้ว่าคุณจะปลอดภัยจากโรคภูมิแพ้ เพราะหากร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันตก ก็สามารถถูกกระตุ้นจากปัจจัยแวดล้อมได้ง่ายขึ้น และหาก Lifestyle ของคุณเอื้อให้ร่างกายอ่อนแอลง เช่น รับประทานอาหาร Fast Food เป็นประจำ, พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเป็นภูมิแพ้ได้
หากสงสัยว่าตัวคุณแพ้อะไร คุณสามารถตรวจ ภูมิแพ้เฉียบพลัน หรือ Allergy Test IgE ซึ่งเป็นการตรวจหาการแพ้ต่อสารกระตุ้น และบอกระดับความรุนแรง เพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงได้