
ในปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มในการทำงานหนักมากขึ้น และพฤติกรรมเสี่ยงต่อภาวะต่อมหมวกไตล้า เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ การประชุมงานหนัก ทำงานล่วงเวลา หรือ Work from home ทำให้แยกงานออกจากเวลาส่วนตัวไม่ได้ แม้กระทั่งการเสพติดข่าว หรือติดซีรีส์ ที่ลดทอนเวลาพักผ่อนไปอีกหลายๆชั่วโมง พฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ส่งผลทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียสะสม นอนไม่หลับหรือหลับไม่สบาย มากกว่า 1 เดือน เพราะเกิดจากภาวะเครียดเรื้อรัง จนเกิดปัญหาสุขภาพตามมา

ผลเสียที่ตามมาจากการทำงานหนัก
ภูมิคุ้มกันทำงานแย่ลง ส่งผลให้ป่วยบ่อย ป่วยง่าย หรือติดเชื้อง่าย เนื่องจากร่างกายจะใช้เวลาในขณะที่คุณนอนหลับในการซ่อมแซมอวัยวะส่วนต่างๆ เพื่อให้อวัยวะได้พักตามนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) หากเราอดนอนสะสมเป็นระยะเวลานาน เท่ากับว่าร่างกายไม่ได้พักผ่อนและซ่อมแซมตนเอง จะทำให้อวัยวะทำงานหนักตลอดเวลา ส่งผลให่เราป่วยง่าย ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สมองสั่งการช้าลงและประสิทธิภาพความจำลดลง การทำงานหนักจนไม่ได้หลับไม่นอน จะทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลช้าลง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่ดีเหมือนเคย เมื่ออดนอนเป็นระยะเวลานานๆจะทำให้เกิดอาการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้การอดนอนยังทำให้ความจำลดลง ส่งผลโดยตรงต่อระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้เราอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น
ความเครียดสะสม อาจนำพาอารมณ์เครียดมาให้เราได้ ซึ่งความเครียดเหล่านั้นจะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว อ่อนล้า คลื่นไส้ อารมณ์แปรปรวน และยังทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงอีกด้วย นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisal) ออกในจำนวนมากเพื่อมากำจัดความเครียด เมื่อ Cortisal ถูกผลิตมาใช้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ระดับ Cortisal ที่ผลิตได้ไม่เพียงพอจะลดลงจนอยู่ในระดับต่ำ เป็นผลให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตล้า (Adrenal Fatigue) จัดการกับความเครียดไม่ได้ และร่างกายเสื่อมรวมไปถึงแก่เร็ว ซึ่งความเครียดมีผลทำให้สภาพผิวของเราอ่อนแอ
ภาวะต่อมหมวกไตล้า (Adrenal Fatigue)
มีความเครียดเป็นตัวกระตุ้นโดยเกิดได้จากหลายปัจจัย เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับฮอร์โมนหลายชนิด เช่น Cortisol, DHEAs รวมถึงฮอร์โมนเพศที่จะสวิงผิดเพี้ยนไปได้ เริ่มต้นจะมีอาการที่ไม่รุนแรงและยังใช้ชีวิตต่อไปได้ หลายคนจึงเลือกมองข้ามและไม่รีบแก้ไข ซึ่งหากสะสมภาวะอาการเหนื่อยล้านี้ไว้นานเข้า อาจยากต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมและเกิด Chronic หรืออาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่รุนแรงตามมาได้ จนร่างกายพัง เราจึงจำเป็นต้องรู้ให้เท่าทัน ตรวจวินิจฉัยภาวะต่อมหมวกไตล้านี้ก่อนที่จะสายเกินแก้
สัญญาณเตือนอาการต่อมหมวกไตล้า หากมีเกิน 7 ข้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์
ขี้เกียจตื่นนอนตอนเช้า
ตื่นนอนแล้วรู้สึกไม่สดชื่น
นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
กลางวันรู้สึกเหนื่อยอยากพัก แต่ตอนกลางคืนไม่ง่วง
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
รู้สึกมีแรงตอนได้รับประทานของหวาน
อยากเค็มมากกว่าปกติ
เวลาลุกหรือนั่งจะมีอาการหน้ามืด
ความรู้สึกทางเพศลดลง
อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
ผิวแห้ง แพ้ง่าย ดูหมองคล้ำ
ภูมิแพ้กำเริบบ่อยๆ
เครียด กังวล ซึมเศร้า ไม่ค่อยสนุกกับสิ่งรอบตัว
ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
ปวดประจำเดือนบ่อย
ปวดหลัง ปวดคอ
ความจำลดลง ขี้ลืมกับเรื่องที่ไม่ค่อยลืม
ผมร่วงไม่มีสาเหตุ
ท้องอืด อาหารไม่ย่อย

สำหรับการดูแลภาวะหมวกไตล้าแบบเร่งด่วนต้อง IV Drip สูตร Adrenal Fatigue Support เป็นวิตามินสูตรเฉพาะที่จะมาช่วยแก้ปัญหาภาวะต่อมหมวกไตล้า อีกทั้งยังมีวิตามินแร่ธาตุต่างๆที่ช่วยซัพพอร์ตร่ายกายได้อย่างดี
ประโยชน์ของ IV Drip Adrenal Fatigue Support
ช่วยบำรุงต่อมหมวกไตให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ให้พลังงานระดับเซลล์ ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย คลายกล้ามเนื้อ
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
บำรุงหลอดเลือดในสมอง
บำรุงหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ลดความเสื่อมของเซลล์ผิว
แนะนำดริปต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง หลังจากนั้น Maintain เดือนละ 1 ครั้ง หรือเมื่อต้องการเสริมสร้างพลังงานให้ร่างกายจากความเหนื่อยล้า
IV Drip Adrenal Fatigue Support ราคา 3,800 บาท/ครั้ง Package
5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง ราคา 19,000 บาท
10 ครั้ง แถม 3 ครั้ง ราคา 38,000 บาท
การรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้า ให้ฮอร์โมนต่างๆ กลับมาสู่สภาวะสมดุล อาจจะใช้เวลา 2-3 เดือน หรือมากกว่านั้น เพราะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก หลายๆคนจึงไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ เพราะไม่สามารถฝืนพฤติกรรมที่เคยชิน พร้อมด้วยความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นจึงควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาปัญหาสุขภาพที่ ไธรฟ์ คลินิก เพื่อการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด
#ทำงานหนัก
#ต่อมหมวกไตล้า
#ความเครียดสะสม
#ปรับสมดุลฮอร์โมน
Global marketing is a crucial strategy for any business looking to expand and thrive in today's interconnected world. By leveraging effective global marketing techniques, companies can tap into new markets, adapt to cultural differences, and maximize their reach. For businesses aiming to stay competitive and scale successfully, focusing on global marketing can make all the difference.