นอนหลับ เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตของเรา ร่างกายต้องการนอนหลับที่มีคุณภาพและปริมาณที่เหมาะสม เมื่อพูดถึงปริมาณการนอนหลับนั้น เราอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่ามีเวลานอนอีกมากตอนที่เราหยุดหายใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถ้าเราอดหลับอดนอนไปเรื่อยๆ ร่างกายรวมถึงจิตใจเราก็จะเข้าใกล้สภาวะเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะได้นอนหลับยาวไม่ตื่นจริงๆ
ปริมาณการนอนนั้นหลายงานวิจัยก็พบว่าแต่ละบุคคลนั้นต้องการปริมาณไม่เท่ากันซึ่งก็ต้องพิจารณาถึงคุณภาพการนอนหลับด้วย เมื่อพูดถึงคุณภาพการนอนหลับจะพิจารณาถึงวงจรขณะนอนหลับจะถูกแบ่งออกเป็นสองถึงสามช่วง คือ
👁 ช่วงตื่น 👀 ช่วง Rapid Eye Movement (REM) คือภาวะที่เราจะกลอกตาไปมาในขณะที่เราหลับอยู่ 🌊 ช่วง Slow-Wave (SW)
โดยทั่วไปเราจะหลับแบบREMสลับกับSWและอาจจะตื่นบ้างถึงแม้ว่าตอนเช้าเราจะจำไม่ได้ว่าตื่นขึ้นในตอนกลางคืน
เรามาดูกันว่าการหลับ
ในแต่ละช่วงมีหน้าที่และความสำคัญอย่างไรดังนี้
👀 REM คือกระบวนการ Detox อย่างหนึ่ง มีงานวิจัยพบว่าการนอนหลับช่วง REM นั้นเราจะฝันซึ่งความฝันในช่วง REM นั้นจะแจ่มชัด สดใส และจะง่ายต่อการจดจำกว่าฝันในช่วงอื่น โดยกระบวนการทางเคมีในสมองของเราขณะที่ฝันนี่แหละที่เป็นตัวช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาที่เรามีความเครียด อกหัก หรือความทุกข์ต่างๆ ที่กระทบกระเทือนจิตใจไปได้
🌊 ในขณะที่ SW จะเป็นอีกช่วงที่เราจะหลับลึกซึ่งจะยากหากจะปลุกให้ตื่นขณะที่เราหลับลึก ซึ่งช่วง SW นี้แหละจะเป็นช่วงที่เราเผาผลาญไขมันในร่างกายออกไป จากงานวิจับพบว่าคนที่นอนไม่พอจะนำไปสู่โรคอ้วนได้ ความฝันในช่วงนี้จะค่อยไม่ปะติดปะต่อ และเป็นช่วงที่สมองเราใช้ในการตอกย้ำและประมวลผลข้อมูลต่างๆ ที่เราได้รับในแต่ละวัน
🧘♀🌅🌠 โดยสรุปก็คือการนอนหลับนอกจากจะช่วยให้สมองของเราจัดเรียงข้อมูลต่างๆ ให้เป็นระเบียบมากขึ้นและยังถูกนำไปจัดเก็บเป็นความทรงจำระยะยาวแล้ว ยังช่วยเราจัดการอารมณ์ที่ต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างวันอีกด้วย งานวิจัยยังบ่งชี้อีกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าที่ระหว่างนอนหลับนั้นมีความฝันยาวๆและซับซ้อนจะฟื้นฟูอาการซึมเศร้านี้ได้เร็วกว่าคนที่ฝันสั้นและจำไม่ได้ว่าฝันอะไร ดังนั้นแทนที่เราจะฝืนความง่วง1-2ชั่วโมงเพื่อทำงานต่อแบบง่วงๆ เราควรเอาเวลานั้นไปนอน🛌 แล้วตื่นขึ้นมา🔋 ให้สมองเราสดชื่นและตื่นตัวเต็มที่จะดีกว่า
