top of page

Thrive Wellness Clinic

  • Facebook
  • YouTube
  • Instagram

ชั้น2 เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา 
Opening Hours เวลาเปิดทำการ 10:00 -19:30 

thrive-clinic.png

ผื่นลมพิษ ผื่นแดงที่แก้ไม่หายขาด เป็นทุกทีที่อากาศเปลี่ยน แก้ไขได้อย่างไร


คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ



ผื่นลมพิษ อาการผื่นแดงคันอันตรายหรือไม่


อาการผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอันตรายหรือไม่ หลีกเลี่ยงอาการผื่นลมพิษนี้ได้อย่างไรบ้าง ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก ชวนสร้างความเข้าใจถึงผื่นคันที่เกิดขึ้น



ผื่นลมพิษ คืออะไร


ผื่นลมพิษ (URTICARIA) เกิดขึ้นจากลมพิษที่แสดงอาการ สามารถพบได้บ่อยโดยมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เป็นอาการแสดงทางผิวหนังมีลักษณะ ผื่น นูนแดง คัน และอาจมีอาการบวมบริเวณเยื่อบุเช่น ตาบวม ปากบวม ในบางราย หรืออาจมีเพียงอาการบวมโดยไม่มีลมพิษ แต่พบได้ไม่บ่อย

ผื่นลมพิษ มักเกิดผื่นแดงขึ้นและยุบลงไม่เกิน 24-28 ชั่วโมง หลังจากนั้นอาจมีโอกาสกลับมามีผื่นขึ้นใหม่อีกสลับ เป็นๆ หายๆ หากเกิดขึ้นไม่เกินระยะ 6 สัปดาห์ เรียกว่า ผื่นลมพิษเฉียบพลัน (Acute Urticaria) แต่หากเกิดนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป เรียกว่า ผื่นลมพิษเรื้อรัง (Chronic Urticaria)



ผื่นคันแบบไหน ถึงเรียกผื่นลมพิษ


ลักษณะของผื่นลมพิษจะเป็นผื่น ปื้นนูนแดง มีอาการคัน ไม่มีขุย เกิดขึ้นได้ทุกส่วนตามร่างกาย แต่พบมากช่วงแขน ขา และใบหน้า มักเกิดและค่อยๆ หายไปใน 24 ชั่วโมง แต่ก็อาจเกิดผื่นแดงขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น บริเวณรอยเสื้อใน หรือรอยกดทับ หรือกรณีที่เป็นมาก อาจจะกระจายทั่วร่างกายได้


ผื่นคันแบบไหน เรียกผื่นลมพิษ


สาเหตุของผื่นลมพิษเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปฏิกิริยาต่อยา, อาหาร, การติดเชื้อ, สิ่งกระตุ้นทางกายภาพ (physical) เช่น แสง ความร้อน ความเย็น หรือการกดทับของร่างกาย การเสียดสี หรือโรคในระบบอื่นๆ ของร่างกายของส่งผล แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักตรวจไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด


และอีกปัจจัยที่สำคัญให้เกิดผื่นลมพิษง่ายขึ้น คือ ร่างกายไม่แข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันลดลง จึงทำให้เมื่อเกิดถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ร่างกายจึงไวต่อการเกิดปฏิกิริยาผื่นลมพิษได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อยเกิดได้จาก Lifestyle หรือการจัดจังหวะชีวิตที่ไม่สมดุล เช่น การพักผ่อนน้อย ทำงานหนัก มีภาวะความเครียดสูง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ร่างกายหนัก การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ได้รับสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง (weak) ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อต่างๆ



สารกระตุ้นก่อผื่นลมพิษ และทำภูมิคุ้มกันบกพร่องมีอะไรบ้าง


สารกระตุ้นก่อผื่นลมพิษ และทำภูมิคุ้มกันบกพร่องมีอะไรบ้าง


1. Cold urticaria ลมพิษที่เกิดจากความเย็น เช่น อากาศเย็น น้ำเย็น ลมเย็น เมื่อผิวหนังเริ่มอุ่นจะเกิดบวมเฉพาะที่


2. Delayed pressure urticaria ลมพิษที่เกิดจากการกดทับเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มักเกิดจากการกดทับในแนวดิ่ง เช่น บริเวณสะโพกเมื่อนั่งนานๆ บริเวณเท้า เมื่อยืนหรือเดินเป็นเวลานาน เกิดผื่น บวมนูนภายในเวลา ประมาณ 3-12 ชั่วโมง หลังถูกกระตุ้น มักไม่มีอาการคันมากนัก แต่อาจมีไข้ ปวดเมื่อย ร่วมด้วย

3. Heat urticaria หรือ Cholinergic urticaria ลมพิษที่เกิดจากความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เกิดตุ่มนูน ล้อมรอบด้วยผื่นแดง มักเกิดที่คอและลำตัว เช่น ก่อนหรือหลังออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ด ร้อน ความเครียด ดีขึ้นและอาจหายไปในเวลา 30-60 นาที


4. Solar urticaria ลมพิษที่เกิดจากแสงแดด UVA UVB แสงอัลตร้าไวโอเลต หรือแสงที่มองเห็นได้ หลังจากที่สัมผัสจะทำให้เกิดผื่นขึ้นทันทีหรือภายใน 1 ชั่วโมง พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุไม่มาก


5. Symptomatic dermographism ลมพิษที่ขึ้นตามรอยขีดข่วน ทำให้เกิดอาการคัน ผื่นนูนแดง เช่นจากการยืน ใส่เสื้อผ้ารัด แน่น เกิดอาการภายใน 1-5 นาทีหลังถูกกระตุ้น และหากยิ่งเกาก็จะยิ่งคันเพิ่มมากขึ้น


6. Vibratory angioedema ลมพิษจากแรงสั่นสะเทือน เช่น เครื่องขุด เจาะถนน (pneumatic hammer) จะทำให้เกิดรอยโรคภายใน 1-2 ชั่วโมง


7. Aquagenic urticaria ลมพิษที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสน้ำ เกิดผื่นแพ้ภายในไม่กี่นาที มีลักษณะตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก


8. Contact urticaria ลมพิษที่เกิดจากการสัมผัสกับสารกระตุ้น เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน Immunologic ที่ทำให้เซลล์ผิวหนังถูกสัมผัสและหลั่งสารออกมาเกิดเป็นผื่นลมพิษ เช่น ยาทาเฉพาะที่ เครื่องสำอาง ยางธรรมชาติ บุ้ง หมามุ่ย ไปจนถึงสารเคมีบางชนิด อย่าง Sorbic Acid, Benzoic acid, cinnamic aldehyde เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม ผื่นลมพิษส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น แม้จะซักประวัติตรวจร่างกายโดยละเอียด และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว ก็มักตรวจไม่พบสาเหตุอย่างแน่ชัด

จึงแนะนำให้สำรวจและสังเกต ตัวเอง ในผู้ที่เป็นผื่นลมพิษ ว่าปัจจัยกระตุ้นการแพ้คืออะไร และพยายามหลีกเลี่ยง งดเว้น และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เพื่อลดความรุนแรงหากมีอาการผื่นแพ้



ทำอย่างไรเมื่อเกิดผื่นลมพิษขึ้น

  1. หาสาเหตุหลังจากเกิดผื่นลมพิษ ว่ามีปัจจัยใดที่ส่งผลให้กลไกร่างกายหลั่ง ฮีสตามีน ออกมาจนทำให้เกิดผื่น อักเสบ และหลีกเลี่ยงทันที

  2. หากเกิดผื่น คัน ให้อาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น หรือทาแป้งเย็นที่มีส่วนผสมของ menthol เพื่อลดอาการคัน และระวังอย่าใช้มากจนเกิดไปอาจทำให้เกิดผิวแห้งและคันเพิ่มขึ้น (งดใช้วิธีนี้ในผู้ที่เกิดผื่นลมพิษจากวามเย็น)

  3. รับประทานยาแก้แพ้ (ยาต้านฮีสตามีน) เช่น Hydroxyzine, Diphenhydramine, Loratadine, Cetirizine หากคันใช้ยาทาแก้คัน คาลาไมน์ ควบคู่ไปได้ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ยาทุกกรณี

  4. ไม่แกะ เกา ขีดข่วนผิวหนังเพิ่ม เพราะยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวหนัง

  5. ปรึกษาแพทย์ทันทีหากอาการไม่ดีขึ้นใน 24 ชั่วโมง


วิธีรักษาเมื่อเป็นผื่นลมพิษ


  • พักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายเกิดกระบวนการฟื้นฟูและซ่อมแซมในช่วงการนอนหลับ

  • รับประทานอาหารให้หลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และรับประทานให้ตรงเวลา

  • เสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น Vitamin C, Zinc, Magnesium, Copper เป็นประจำ

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ ที่มีอนุมูลอิสระทำลายระบบภูมิคุ้มกัน

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นที่ก่อให้เกิดผื่นลมพิษ ทั้งจากอาหาร การสูดดม และการสัมผัส ด้วยการสังเกตตัวเองเสมอ

  • หลีกเลี่ยงการเกาหรือ แกะบริเวณที่เป็นลมพิษเพราะอาจทำให้ผื่นลามใหญ่ขึ้น หรืออักเสบมากขึ้น

  • หากเป็นผื่นลมพิษเรื้อรังต่อเนื่องไม่ดีขึ้น ควรพิจารณาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและปัจจัยร่วม หากมีอาการที่เยื่อบุส่วนต่างๆ ร่วมด้วย เช่น เยื่อบุตา ทำให้คัน ตาบวม หรือตาอักเสบ เยื่อบุลำไส้ ทำให้ท้องเสีย เยื่อผุโพรงจมูก ทำให้มีน้ำมูก จาม หรือหายใจลำบาก หอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์ เพราะหากมีการแพ้เฉียบพลันแบบรุนแรง อาจอันตรายเกิดโรคร้ายแรง



การดูแลผื่นลมพิษ ผ่านการตรวจหาสาเหตุของผื่นลมพิษ เพื่อการดูแลเชิงป้องกัน


1. การตรวจหาสาเหตุของภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (IgE) ตรวจสารกระตุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ อาหาร และสิ่งแวดล้อมที่มาจากการสัมผัสหรือสูดดม บ่งบอกระดับความรุนแรงของการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด ตรวจได้มากถึง 107 รายการ




2. การตรวจหาระดับวิตามินและแร่ธาตุ เพื่อให้ทราบถึงระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายอาจบกพร่อง คือ การตรวจระดับ Vitamin and Micronutrients ผ่านการตรวจเลือด และการตรวจเชิงลึกถึงระดับเนื้อเยื่อ ด้วยเครื่อง Oligoscan ที่สามารถบอกระดับสารพิษโลหะหนัก ระดับวิตามินและแร่ธาตุ ที่สะสมหรือตกค้างภายในร่างกายได้ วิธีการตรวจนี้ง่าย ไม่เจ็บตัว ใช้เวลาตรวจเพียงไม่กี่นาที และแพทย์สามารถนำผลไปวิเคราะห์การรักษาได้อย่างแม่นยำ


3. เสริมสร้างร่างกายด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น อย่างรวดเร็วผ่าน IV Drip Vitamin โดยแนะนำสูตรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระระดับสูงเพื่อช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน ลดอาการแพ้ ลดอาการผื่น ช่วยขจัดสารพิษ ทำให้อาการผื่นแพ้และภูมิแพ้หายเร็วขึ้น



แนะนำสูตร IV Drip Vitamin


🔰IV DRIP MEGA DOSE VIT C

เสริมพลังโดสเข้มข้นด้วย Vitamin C บูสท์เสริมภูมิคุ้มกันขั้นสุด พร้อมเสริมสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นฟื้นฟูผิวพร้อมรับทุกกิจกรรม บํารุงผิวสดใส เปล่งปลั่ง เรียบลื่น ช่วยกระบวนการทําลายเชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรีย


❇️ ราคา 7,500.-/ครั้ง

🔰IV DRIP IMMUNE UPGRADE

สูตรที่มี Vitamin C เข้มข้นและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เหมาะกับผู้เป็นหวัดบ่อย แพ้อากาศหรือภูมิแพ้


❇️ ราคา 3,800.-/ครั้ง

🔰IV DRIP ALLERGY DEFENDER

สูตรเพิ่มภูมิคุ้มกัน ไข้หวัด และป้องกันภูมิแพ้


❇️ ราคา 2,990.-/ครั้ง



ดริปวิตามิน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน


โดยรวม อาการผื่นแพ้ เป็นอาการที่สะท้อนว่าร่างกายคุณกำลังอ่อนแอ และ Lifestyle ที่ไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ ยา เคมีภัณฑ์ ฝุ่นควัน กระตุ้นให้ร่างกายอักเสบ และเป็นผื่นแพ้ภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น อย่าลืมหันกลับมาดูแลตัวเองก่อนจะแพ้เกินแก้นะคะ




Reference











bottom of page