top of page

Thrive Wellness Clinic

  • Facebook
  • YouTube
  • Instagram

ชั้น2 เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา 
Opening Hours เวลาเปิดทำการ 10:00 -19:30 

thrive-clinic.png

Search Results

พบ 198 รายการสำหรับ ""

  • ความแตกต่าง ภูมิแพ้อาหารแฝง กับ ภูมิแพ้เฉียบพลัน

    แพ้แบบไหนคืออะไรกันแน่ สับสนไปหมด เพราะมีอาการผื่นแพ้ ปวดท้อง คันตา แล้วก็ไม่รู้เกิดจากอาหารหรืออะไร มาทำความเข้าใจความแต่งต่างระหว่าง ภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance) กับ ภูมิแพ้เฉียบพลัน (Food Allergy) กันก่อน จะได้เลือกตรวจถูกค่ะ ภูมิแพ้อาหารแฝง (FOOD INTOLERANCE) อาการของภูมิแพ้อาหารแฝง ภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (Food Allergy) อาการของภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน ความแตกต่างของภูมิแพ้อาหารแฝงและภูมิแพ้เฉียบพลัน ภูมิแพ้อาหารแฝง (FOOD INTOLERANCE) คืออะไร? ภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance) คือการที่ร่างกายเกิดอาการแพ้จากอาหาร แบบแอบแฝง ไม่ได้แสดงอาการโดยทันที เช่น ลำไส้แปรปรวน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ สิวอักเสบ ผื่นคัน เกิดการอักเสบในร่างกายในบริเวณต่างๆ เนื่องจาก ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันชนิด Immunoglobulin G (IgG) ขึ้นมาเพื่อจัดการกับอาหารแต่ละชนิด เมื่อเรารับประทานอาหารที่ให้เข้าไปบ่อยๆ ซ้ำๆ หรือทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เม็ดเลือดขาวสร้าง Antibody IgG ต่ออาหารชนิดนั้นในระดับสูง ซึ่งมักจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย หรือแพ้อาหารแฝงนั่นเอง โดยลักษณะการแพ้ในแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันไป หากปล่อยให้แพ้อาหารบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลรุนแรงต่อภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) หรือผนังลำไส้ถูกทำลายเกิดช่องว่างระหว่างเซลล์เยื่อบุลำไส้หลวม จนทำให้โมเลกุลที่ยังไม่ผ่านกระบวนการย่อยหรือย่อยไม่หมดเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดอาการต่างๆรุนแรงขึ้น และเร็วขึ้น นอกจากส่งผลต่อความรำคาญในการใช้ชีวิตประจำวัน ยังทำให้การคืนสมดุลลำไส้ยากขึ้น ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง อาการของภูมิแพ้อาหารแฝง (FOOD INTOLERANCE) การแพ้อาหารแบบแฝงจะแสดงอาการหลากหลาย มักมีอาการเรื้อรัง เป็นๆหายๆ ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการนั้นๆ และมีอาการหลายๆในแต่ละบุคคล เช่น ​ ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ลำไส้แปรปรวน เกิดสิวอักเสบเรื้อรังตามใบหน้าและร่างกาย ผิวหนังแดง มีผื่นคัน กระตุ้นการเกิดภูมิแพ้ ปวดหัวไมเกรนเรื้อรัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถึงภูมิแพ้อาหารแฝงจะไม่แสดงอาการชัดเจนแต่ก็สร้างความน่ารำคาญได้ไม่น้อย ดังนั้น หากมีอาการแพ้ควรตรวจเช็กว่าเรามีอาการแพ้อาหารแฝงชนิดใด ไธรฟ์ เวลเนส คลินิกสุขภาพ (Thrive Wellness) มีโปรแกรมตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง (IgG) แบบ 216 ชนิดอาหาร ซึ่งครอบคลุมถึงอาหารส่วนใหญ่ที่คนไทยกินเป็นประจำ และจะรายงานผลการตรวจออกมาเป็นระดับการแพ้ต่ออาหารแต่ละรายการ ให้เราได้ป้องกันและหลีกเลี่ยงจากภัยแฝงต่างๆ ของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 🟡Package ตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง IgG 216 รายการ ราคา 19,000 บาท (ราคานี้รวม complementary มูลค่า 8,970 บาท เมื่อตรวจภายในปี 2566) ภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (Food Allergy) คืออะไร ภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (Food Allergy) จะเป็นอาการแพ้ที่มีปฏิกิริยาที่รุงแรงและเกิดขึ้นทันที เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นจากสิ่งที่แพ้ เช่น อาหาร ยาบางชนิด แมลงกัดต่อย เป็นต้น โดยเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคหรือภัยร้ายต่างๆ ประกอบกับเซลล์ที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมจะหลั่งสาร Histamine ขึ้นซึ่งสาร Histamine จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น โดยทั่วไปร่างกายจะมีกลไกป้องกันสิ่งแปลกปลอมด้วยการสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีชนิด E หรือ Immunoglobulin E (IgE) เพื่อช่วยกำจัดสารต่าง ๆ ที่คาดว่าเป็นอันตราย จากนั้นเนื้อเยื่อตามส่วนต่าง ๆ โดยจะมีอาการไข้ขึ้น อาการคันในลำคอหรือรู้สึกหายใจไม่สะดวก ซึ่งในรายที่มีอาการรุนแรงมาก อาจมีอาการหายใจไม่ออก หรือช็อคหมดสติ (Anaphylaxis shock) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอันตรายต่อชีวิตได้ อาการของภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (Food Allergy) ผื่นแดงตามผิวหนัง ลมพิษ มีอาการคัน ผิวหนังแดงหรือซีด วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ไอ จาม น้ำมูกไหล ปวดท้องหรือท้องเสีย ความดันโลหิตลดต่ำลง ลิ้นบวม ปากบวม หรือคอบวม หายใจติดขัด อาจมีเสียงดังหวีดๆ รู้สึกเหมือนมีสิ่งอุดตันในลำคอ กลืนลำบาก แน่นหน้าอก ใจสั่น ชีพจรอ่อน หรือหัวใจเต้นเร็ว หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (รุงแรงที่สุด) ภูมิแพ้เฉียบพลัน ถือเป็นอาการภูมิที่มีความรุงแรงมากและอาจอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นไม่ควรชะล่าใจ หากใครยังไม่แน่ใจว่าแพ้อะไรบ้าง ไธรฟ์ เวลเนส คลินิกสุขภาพ (Thrive Wellness) มีโปรแกรมตรวจภูมิแพ้เฉียบพลัน (IgE) แบบ 107 รายการ โดยวิธีการตรวจเลือดและทราบผลไวภายใน 2-5 วัน เพื่อช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงอาหารหรือสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดอาการแพ้รุงแรงได้ 🔴Package ตรวจภูมิแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน IgE 107 รายการ ราคา 9,000 บาท ความแตกต่างระหว่างภูมิแพ้อาหารแฝงและภูมิแพ้เฉียบพลัน ภูมิแพ้อาหารแฝง เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน (Antibody) ชนิด IgG (Immunoglobulin G) มักจะแสดงอาการเมื่อรับประทานอาหารชนิดนั้นในปริมาณมาก หรือบ่อยๆ ซ้ำๆ และอาการส่วนใหญ่มักเกิดหลังรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงยากที่จะระบุได้ว่าเกิดจากการแพ้อาหารชนิดใด ส่วนภูมิแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน เกิดจากภูมิชนิด Immunoglobulin E (IgE) ซึ่งความเร็วในการเกิดอาการแพ้หลังจากที่ทานอาหารหรือสัมผัสสิ่งที่แพ้เข้าไป อาการต่อเยื่อบุต่างๆ จะเกิดขึ้นทันที หรือภายใน 2 ชั่วโมง โดยภูมิแพ้เฉียบพลันระดับรุนแรงอาจมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ หากท่านใดมีข้อสงสัยทางเราจะมีเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญคอยให้ข้อมูลและคอยให้ความรู้โดยละเอียด สามารถสอบเพิ่มได้ที่ Line@ : https://lin.ee/i0InL89 หรือโทรมาสอบถามได้ที่เบอร์ : 095-934-9640

  • IV Gut health ( ซ่อมแซมผนังลําไส้ Dipeptiven )

    IV Drip สูตร Gut Health เป็นสูตรที่ช่วยปรับสมดุลให้ลำไส้กลับมาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะมีกรดอะมิโน Dipeptiven เป็นกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อลำไส้ จะช่วยรักษาความผิดปกติที่เกิดของลำไส้ ที่ส่งผลให้การดูดซึมสารอาหารไม่ดี เช่น ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome), ภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กเจริญเติบโตมากผิดปกติ (Small Intestinal Bacterial Overgrowth; SIBO), ภาวะกรดในกระเพาะอาหารต่ำ, โรคลำไส้แปรปรวน, โรคโครห์น (Crohn's disease, CD), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล, โรคเซลิแอค (Celiac Disease) และโรคภูมิแพ้อาหาร เป็นต้น ประโยชน์ของ IV Drip สูตร Gut Health ช่วยซ่อมแซมเยื่อบุผนังลำไส้ ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ช่วยเรื่องการขจัดสารพิษ ลดการรั่วซึมของสารพิษไปยังกระแสเลือด ลดอาการอักเสบของลำไส้ เสริมมวลกล้ามเนื้อเพิ่มความแข็งแรงให้กับลำไส้ เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหาร เหมาะสําหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวภาวะลำไส้รั่ว ระบบลําไส้ ลําไส้แปรปรวน ร่างกายอ่อนแรงหรือเหนื่อยง่าย ปรับได้ด้วย IV DRIP Gut Health เพราะเป็นสูตรเฉพาะที่จะช่วยปรับสมดุลลำไส้ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารให้ดียิ่งขึ้น หากท่านใดสนใจสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ ไธรฟ์ คลินิก เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยและออกแบบการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด IV DRIP สูตร Gut Health ราคา 3,800 บาท/ครั้ง Package IV DRIP Gut Health 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง ราคา 19,000 บาท 10 ครั้ง แถม 3 ครั้ง ราคา 38,000 บาท ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) 7 อาหารที่มี Probiotic สูง Vitamin IV Drip

  • ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) ภัยใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม

    ปกติแล้วเซลล์ในลำไส้เล็กจะเรียงตัวชิดกันเป็นระเบียบ และมีการดูดซึมเฉพาะสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) คือ จะมีการบวมของเซลล์เยื่อบุผิวลำไส้ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ ที่บริเวณ Tight Junctions ทำให้สารพิษและอาหารที่ยังย่อยไม่สมบูรณ์เล็ดลอดเข้าไปสู่ระบบไหลเวียนเลือด และก่อให้เกิดการอักเสบต่างๆในร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหรือสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด กลไกการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจะสร้างแอนติบอดี้ (Antibody) IgG ไปจับกับอาหาร สารพิษ หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ แล้วก่อตัวเป็น Immume Complex จัดเป็นการแพ้ชนิดที่ 3 "Immume Complex-Mediated Hypersensitivity" หรือ "Delayed Food Allergy" ลักษณะเฉพาะของการแพ้แบบนี้คือ อาการจะเป็นไปแบบช้าๆ จึงทำให้ยากต่อการหาสาเหตุ อาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจมีภาวะลำไส้รั่ว ได้แก่ แพ้อาหารแอบแฝง ระดับสูง (Food Intolerance) ไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้ เช่น แป้ง น้ำตาลขัดขาว เนื้อหมู หรือเนื้อวัว หรือผักสด เมื่อทานเข้าไปจะปวดท้อง ท้องอืด เป็นต้น ปวดท้องบ่อยแบบไม่มีสาเหตุ อาการทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ ผื่นแดง คัน ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง สิวอักเสบเรื้อรังรักษาไม่หาย อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น จาม คันจมูก คอบวม ไอ หอบหืด หายใจลำบาก อาการทางระบบประสาท เช่น ปวดหัวไม่ทราบสาเหตุ ปวดหัวไมเกรน การตัดสินใจช้าลง สมาธิลดลง เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ทั้งๆที่พักผ่อนเพียงพอ มีอาการท้องเสียเรื้อรัง ท้องเสียง่าย มือและเท้าเย็นผิดปกติ สาเหตุของภาวะลำไส้รั่ว เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้ง ความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตที่ขัดสีสูง หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภูมิแพ้อาหารแฝงแบบรุนแรง หรือการรับประทาน ยาปฏิชีวนะ (NSAIDS) เป็นเวลานาน IV DRIP Gut Health ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ซ่อมแซมผนังลำไส้ ช่วยขจัดสารพิษ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารให้ดียิ่งขึ้น ราคา 3,800 บาท/ครั้ง Package IV DRIP Gut Health 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง ราคา 19,000 บาท 10 ครั้ง แถม 3 ครั้ง ราคา 38,000 บาท Vitamin IV Drip IV DRIP Gut Health 7 อาหารที่มี Probiotic สูง

  • รวม 7 อาหารที่มี Probiotic สูง ช่วยสร้างสมดุลให้จุลินทรีย์ในลำไส้

    โพรไบโอติกส์ (Probiotic) คือ จุลินทรีย์ดี ที่มีคุณสมบัติพิเศษคอยบาลานซ์ความเป็นกรดเบส คอยปรับสมดุลภายในลำไส้ ไม่ให้มีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี เช่น เชื้อรา เชื้อยีสต์ แบคทีเรียร้ายอยู่ภายในลำไส้มากเกินไป เพราะจะส่งผลให้เกิดโรคในร่างกายได้ อาจทำให้ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า ภูมิแพ้ ป่วยง่าย ซึ่งภายในร่างกายของเราทุกคนจะมีจุลินทรีย์มากกว่า 100 ล้านล้านตัว ถ้าเปรียบเทียบกับเซลล์ในร่างกายที่ว่าเยอะแล้วแต่ก็มีแค่ 10 ล้านล้านเซลล์เท่านั้นค่ะ เจ้าจุลินทรีย์จะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ และอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเราค่ะ เช่นในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ในช่องปาก หรือแม้แต่บนผิวหนัง แล้วจุลินทรีย์ดีเหล่านี้เองค่ะที่จะคอยกำจัดจุลินทรีย์ที่ไม่ดีออกไป จึงช่วยสุขภาพของเราได้ 7 อาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotic) มากที่สุด โยเกิร์ต คือ หมักโดยใช้กรดแลคติกแอซิดแบคทีเรีย (Lactic acid bacteria: LAB) และยีสต์ชนิดที่ดี หมักเลี้ยงให้ได้จุลินทรีย์ชนิดดีอีกหลากหลายสายพันธุ์ ในโยเกิร์ตจึงมีเชื้อจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในปริมาณที่ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ในกรีกโยเกิร์ตที่จะมีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillus acidophilus) และ แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ (Lactobacillus casei) ที่ช่วยเพิ่มเชื้อแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายในท้องของเราด้วย ผักดองทุกชนิด เช่น แตงกวาดอง ผักกาดดอง หรือจะเป็นพวกผักดองจีน ผักดองฝรั่ง เป็นต้น เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง จะมีเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotic) เกิดขึ้นมา สามารถกระตุ้นเซลล์แมคโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มการสร้างสารภูมิต้านทาน และยังมีวิตามินที่จำเป็นกับร่างกาย ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ช่วยลดการเกิดโรคเกี่ยวกับลำไส้ ลดอาการท้องผูกและช่วยปรับระบบการย่อยอาหารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กิมจิ ผักกาดขาว ต้นหอม หัวไชเท้า ที่หมักดองด้วยเกลือและเครื่องปรุง เช่น ผงพริกที่เรียกโกชูการู ต้นหอม กระเทียม ขิง ต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี อุดมไปด้วยกรดแลคติกแอซิดแบคทีเรีย (Lactic acid bacteria : LAB), แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และจุลินทรีย์ที่ดีต่าง ๆ อีกหลายชนิด โดยส่วนใหญ่จะเป็นโพรไบโอติก (Probiotic) ที่ดีต่อระบบย่อยอาหารและช่วยปรับสมดุลการทำงานของลำไส้ ดาร์กช็อกโกแลต ถือเป็น Superfood ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังเป็น โปรไบโอติกส์ แต่จะต้องเลือกชอคโกแลตที่มีปริมาณผงโกโก้ 70% ขึ้นไป จะมีน้ำตาลต่ำและไขมันต่ำ และถือเป็นอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotic) สายพันธุ์แลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) และไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) สูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีประสิทธิภาพ และช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารและทางเดินอาหารเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกด้วย ซุปมิโซะ ทำจากถั่วเหลืองหมักกับเกลือและเชื้อราชนิดที่ดี ในกระบวนการหมักจึงทำให้เกิดจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotic) ซึ่งช่วยปรับสมดุลในลำไส้ได้ นอกจากนี้ในมิโซะยังมีโปรตีนสูง แคลอรี่ต่ำ ที่ช่วยบำรุงลำไส้ปรับสมดุลในร่างกายอีกด้วย เทมเป้ ถั่วเหลืองหมักกับเชื้อราที่ดีจนทำให้ได้โพรไบโอติกส์ (Probiotic) ที่ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี และยังเป็นแหล่งที่ดีของโปรตีนที่ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยบรรเทาอาการวัยทอง อาการร้อนวูบวาบ และยังได้เลซิติน (Lecithin) จากถั่วเหลืองช่วยบำรุงสมอง คอมบูชาหรือชาหมัก เป็นแหล่งที่ดีของโพรไบโอติกส์ (Probiotic) เช่นกัน เพราะเป็นน้ำหมักจากชาดำหรือชาเขียว กับหัวเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งมีทั้งแบคทีเรียชนิดดี จุลินทรีย์ชนิดดี และยีสต์ที่ดี แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียนชนิดไม่ดีให้ออกไปจากร่างกาย ช่วยปรับสมดุลทำให้อาการท้องร่วง ระบบย่อยอาหารที่ผิดปกติ อาการขับถ่ายผิดปกติลดน้อยลง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เราควรทานอาหารให้หลากหลาย และสลับสับเปลี่ยน ไม่เน้นอย่างใดอย่างหนึ่งจนเกินไป เพราะจากผลดี อาจกลายเป็นผลเสีย หากไม่แน่ใจว่าภาวะลำไส้ของคุณสมดุลหรือไม่ สามารถตรวจวิเคราะห์จุลินทรีย์ทั้งดีและจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้ ผ่านการตรวจ Urine Organic Profile Test การตรวจเชิงลึกถึง ความสมดุลของลำไส้ ปริมาณเชื้อรา เชื้อยีสต์ แบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ย่อยอาหารยาก ระบบเผาผลาญไม่สมบูรณ์ น้ำหนักขึ้น-ลงไม่มีสาเหตุได้ Urine Organic Profile Test IV Drip Gut health

  • 7 อาหารที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท อยากบำรุงสมองต้องไม่พลาด

    สมอง ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อร่างกายเรามาก เพราะสมองมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาท การผลิตฮอร์โมน รวมไปถึงการแสดงออกทางอารมณ์ การจดจำ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นสมองเราจะทำงานได้ช้าลงหรือเสื่อมลง โดยโรคที่จะตามมาหลักๆคือ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เราจึงต้องหันมาดูแลและชะลอความเสื่อมของสมอง ด้วยการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ แล้วอาหารที่สามารถบำรุงสมองได้มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ 7 อาหารบำรุงสมอง ที่หาซื้อและนำมาปรุงอาหารได้ง่าย ปลาทะเลน้ำลึก ที่มีส่วนผสมของไขมันในปริมาณที่ต่ำเมื่อเทียบกับปลาจากแหล่งอื่น มีไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีทั้งสารดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid : DHA) ที่ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ช่วยคืนความสดชื่นให้กับสมอง ช่วยป้องกันโรคสมาธิสั้น ช่วยพัฒนาสมองส่วนของความจำและการเรียนรู้ และอีพีเอ (Eicosapentaenoic acid : EPA) ช่วยลดการเกิดไตรกลีเซอไรด์ (Trigleceride) ที่เป็นสาเหตุของไขมันอุดตันในหลอดเลือดของหัวใจและสมอง โดยปลาที่แนะนำก็คือ ปลาแซลมอน และปลาทูน่า เป็นต้น ไข่ไก่ คืออาหารที่มีสารโคลีน (Choline) เน้นไปที่ไข่แดง โดยสารโคลีนจะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความจำดีขึ้น ธัญพืชตระกูลถั่ว ที่เป็นแหล่งของโปรตีนชั้นดี โดยธัญพืชตระกูลถั่วจะมีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่เซลล์ปลายประสาท ช่วยลดคอเลสเตอร์รอล นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีที่สำคัญต่อกระบวนการคิดและจำ โดยถั่วที่แนะนำคือ ฮาเซลนัท อัลมอนด์ ถั่วลิสง แมคคาเมีย และวอลนัท เป็นต้น แปะก๊วย ในแปะก๊วยมีสารสกัดไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) แล้วยังได้สารไบโลบาไลด์ (Bilobalides) และกิงโกไลด์ (Ginkgolides) สามารถต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ทำให้สามารถลำเลียงอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงภายในสมองได้ปกติ แถมช่วยบำรุงสมอง ป้องกันและรักษาปัญหาที่เกี่ยวกับสมองทั้งหลาย เช่น ป้องกันสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ ทั้งยังช่วยให้ระบบเกี่ยวกับความจำสามารถทำงานได้ปกติดี สามารถจดจำได้ดีขึ้น และยังช่วยลดความวิตกกังวล ผลไม้รสเปรี้ยวตระกูลเบอร์รี จะช่วยเสริมสุขภาพสมอง ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ช่วยลดความดันโลหิตที่สูงให้สมดุล มีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยเพิ่มความสามารถในการคิด และระดับไอคิวได้ดี ทั้งยังป้องกันการสูญเสียความจำระยะสั้น ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทในฮิปโปแคมปัส ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อความทรงจำ และยังช่วยทำให้ระงับความเครียดของสมองได้อย่างดี ผักใบเขียว อุดมไปด้วยวิตามินเค โฟเลต ลูทีน และเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายและสมอง ช่วยลดอาการความจำเสื่อม และยังมีเอนไซม์ช่วยเสริมความแข็งแรของตัวรับส่งข้อมูลของเซลล์ประสาทอีกด้วย ผักใบเขียวที่แนะนำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำ ปวยเล้ง คะน้า ผักโขม ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง และยังช่วยพัฒนาความจำได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยผลิตสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) และเซโรโทนิน (Serotonin) ที่เป็นสารแห่งความสุขในสมอง ที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จึงจำเป็น เพราะในสารอาหารล้วนมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง และช่วยชะลอการเสื่อมของสมองได้ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมองทางด้านความคิด ทางด้านอารมณ์อีกด้วย สำหรับการดูแลด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารอาหารน้ำ IV DRIP Brain Active การดริปวิตามินเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ระบบประสาท รวมถึงสมอง เพราะ วิตามินแร่ธาตุ สามารถดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสูตรที่มีสารน้ำที่ช่วยฟื้นฟู สมองและระบบประสาท เช่น Cerebrolysin หรือ Cerebrum ซึ่งใช้ในการดูแลเคสอัลไซเมอร์ อีกทั้งยังช่วยป้องกัน Stoke หรือ สมองเสื่อมอีกด้วย นอกจากนี้ IV DRIP Brain Active ยังมี วิตามินอีกหลากหลายชนิด เช่น Vitamin C, Vitamin B รวม ที่ช่วยเสริมสร้างพลังงานและฟื้นฟูระบบประสาทอีกด้วย Vitamin IV Drip โรคอัลไซเมอร์

  • คิดอยากมีลูกต้องบำรุงมดลูกและรังไข่ให้แข็งแรงIV DRIP Fertility

    สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมความพร้อมเป็นว่าที่คุณแม่หรือกำลังเตรียมความพร้อมในการทำ ICSI ไม่ควรพลาดกับตัวช่วยสำคัญอย่าง Vitamin IV Drip สูตร Fertility Support ที่ช่วยในการบำรุงรังไข่และมดลูกของคุณผู้หญิงให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์มากที่สุด Vitamin IV Drip สูตร Fertility Support เป็นวิตามินที่ช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายคุณผู้หญิง ฟื้นฟูรังไข่และมดลูก ช่วยเสริมวิตามินที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมมีบุตร หรือกำลังเตรียมทำ ICSI ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศตามธรรมชาติ ทำไมต้องเลือก IV Drip สูตร Fertility Support ช่วยในการปกป้องเซลล์ไข่จากอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ไข่ เพิ่มคุณภาพของเซลล์ไข่ให้สมบูรณ์มากขึ้น ช่วยคลายความเครียด คลายความหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เสริมการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้การตกไข่เป็นไปตามปกติ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย IV Drip Fertility เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวในการมีบุตร เพื่อเตรียมความพร้อมของเซลล์ไข่และมดลูกให้แข็งแรงและสมดุล สำหรับผู้ที่วางแผนในการทำ ICSI ขอแนะนำให้เข้ารับการบำรุงอย่างน้อย 3 เดือน 🩺 มาตรวจฮอร์โมน เช็คความสมดุล เรียนรู้ และรู้จักร่างกายตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้กันค่ะ เพราะ ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพียงแค่ 1-2 ตัว ก็อาจก่อให้เกิดภาวะ หรืออาการผิดปกติต่างๆที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนได้แล้วค่ะ ที่ @thrivewellnessth เชี่ยวชาญเรื่องการตรวจสุขภาพเฉพาะบุคคลมากๆ คุณหมอ อธิบาย ให้คําปรึกษา แนะนํา ปรับ lifestyle จากผลเลือดของแต่ละคน เลยแก้ไขได้ตรงจุด และใช้วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบําบัดซึ่งปลอดภัย 💯 แนตเลือกดริปวิตามิน IV DRIP สูตร Fertility Support เพื่อช่วยเพิ่มความพร้อมของมดลูก และบำรุงไข่ ให้ไข่มีคุณภาพและไข่ตกค่ะ รู้สึกมั่นใจ ปลอดภัย แล้วคุณหมอเช็คข้อมูลอย่างละเอียดมากๆค่ะ รับคำปรึกษาจากแพทย์ด้ายเวชศาสตร์ชะลอวัยและป้องกัน เพื่อการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพอย่างเหมาะสมเฉพาะบุคคล IV Drip Fertility ราคา 9,000 บาท/ครั้ง Package IV Drip Fertility Support 8 Times ราคา 45,000 บาท 20 Times ราคา 90,000 บาท 10 วิตามินเสริม เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ ภาวะมีบุตรยาก ตรวจสมดุลฮอร์โมน

  • การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ ร่างกายขับสารพิษออกเองไม่ได้ อาจทำให้ตับพัง

    ตับ เปรียบเสมือนโรงงานขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น การขับข้อเสียออกจากร่างกาย กักเก็บสารอาหารที่จำเป็น ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เป็นต้น หากเรากินอาหารเข้าไปแล้วร่างกายไม่สามารถย่อยได้อย่างสมบูรณ์ จะเหลือเป็นของเสียทิ้งคาไว้ในร่างกาย ที่ยากต่อขับของเสียและสารพิษออกมาได้ ส่งผลให้ตับของคุณเสียหายจากการสะสมสารพิษหรือของเสียไว้จำนวนมาก ตับทำหน้าที่อะไรบ้าง หากตับทำงานหนักจนเกินไปประสิทธิภาพในการทำงานด้านต่างๆของตับจะเสื่อมลง ซึ่งหน้าที่หลักของตับคือ เป็นแหล่งสะสมสารอาหารไว้ใช้ยามจำเป็น โดยตับจะสะสมทั้งไกลโคเจนที่แปลงมาจากน้ำตาลกลูโคส รวมไปถึงสะสมธาตุเหล็กที่เกิดจากการสลายตัวของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่สะสมของวิตามินเอ (Vitamin A), วิตามินดี(Vitamin D), วิตามินบี12 (Vitamin B12) และทองแดง (Copper) เป็นต้น ไว้ให้ร่างกายดึงออกมาใช้ในยามจำเป็น หรือในยามที่ร่างกายต้องการพลังงาน การย่อยสารอาหาร โดยการผลิตน้ำดี เพื่อมาย่อยไขมัน และช่วยดูดซึมไขมันในลำไส้เล็ก สร้างโปรตีนอัลบูมิน(Albumin) ตับจะคอยนำสารอาหารที่ได้รับการย่อยมาแล้วในระดับหนึ่งมาเปลี่ยนให้เป็นสารอาหารที่จำเป็น และเหมาะกับการใช้ในแต่ละอวัยวะ เช่น สร้างโปรตีนอัลบูมิน หรือโปรตีนไข่ขาวที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด กรองเลือด (Filters Blood) ตับเป็นตัวกรองสารพิษและของเสียต่าง ๆ ออกมาจากเลือดที่มาจากกระเพาะอาหารและลำไส้ส่งไปยังระบบขับถ่าย เช่นสารพิษจำพวก แอมโมเนีย แอลกอฮอล์ คาร์บอนเตตราคลอไรด์ และคลอโรฟอร์ม กรองเชื้อโรค (Resists Infections) ในกระบวนการกรองเลือด นอกจากการขับสารพิษออกไปยังระบบขับถ่ายแล้ว ตับยังกรองและกำจัดแบคทีเรียออกจากเลือดด้วย ขับยาบางชนิดที่ตกค้างจากการรับประทาน การกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย ตับมีหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย โดยตับจะขจัดสารพิษ ดังนี้ ขจัดยาปฏิชีวนะ ขจัดแบคทีเรีย ขจัดเชื้อไวรัส ขจัดมลพิษที่ได้รับในแต่ละวัน ขจัดยาฆ่าแมลง ขจัดแอลกอฮอล์ ขจัดสารพิษจากควันบุหรี่ ขจัดความเครียดสะสม เป็นต้น รวมถึงเป็นตัวช่วยลำเลียงฮอร์โมน วิตามิน และเอนไซม์สำคัญสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะทำหน้าที่ในการรีไซเคิลสารจากเม็ดเลือดแดงที่ถูกทำลายที่ม้าม สังเกตุอาการเมื่อตับทำงานผิดปกติ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท อุจจาระสีซีด และปัสสาวะสีเข้ม ท้องอืด แน่นท้อง คล้ายอาหารไม่ย่อย ตาเหลือง ตัวเหลือง ภูมิคุ้มกันต่ำ ป่วยง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวอักเสบ เป็นแผลง่าย เขียวช้ำง่าย สีปากคล้ำ หรือใต้ตาคล้ำ หากเราต้องการขจัดสิ่งสะสมออกจากร่างกาย ขับสารพิษและอนุมูลอิสระ เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งตกค้างสะสม มาพร้อมกับการฟื้นฟูการทำงานของร่างกาย โดยผ่านสายน้ำเกลือไม่ต้องเจ็บตัวอย่าง IV Drip สูตร Liver Detox สูตรที่ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านการทำลายเซลล์จากสารอนุมูลอิสระโดยเฉพาะเซลล์ตับ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายนอนหลับได้สนิทมากยิ่งขึ้น IV Drip สูตร Liver Detox ราคา 3,800 บาท Package 10 ครั้ง แถม 3 ครั้ง ราคา 38,000 บาท Vitamin IV Drip Chelation ล้างพิษหลอดเลือด ตรวจสารพิษโลหะหนักด้วย Oligoscan

  • เปลี่ยนซึมเศร้าเป็นสดใส ด้วย IV Drip สูตร Depressed Support

    ในปัจจุบันมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากภาวะซึมเศร้าเป็นจำนวนมาก และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาวะซึมเศร้าถือเป็นว่าเป็นโรคใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด และมีอีกหลายคนที่เข้าข่ายเป็นภาวะซึมเศร้าแล้วไม่รู้ตัว วันนี้เราจะมาพูดถึงภาวะซึมเศร้าและตัวช่วยดีๆที่ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าลงได้ ภาวะซึมเศร้า คืออะไร ภาวะซึมเศร้า (Depression) คือ โรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาททั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ ซีโรโตนิน(Serotonin), นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และ โดปามีน (dopamine) ซึ่งส่งผลต่ออาการผิดปกติทางด้านอารมณ์ และกระทบต่อความคิด ความรู้สึก พฤติกรรม รู้สึกเฉยชา ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งก่อให้เกิดอาการทางจิตได้มากมาย การดำเนินชีวิตตามปกติอาจทำได้อย่างยากลำบากหรือรู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่า ความแตกต่างระหว่างภาวะซึมเศร้ากับความเศร้า ภาวะซึมเศร้าและความเศร้า มีความเชื่อมโยงกัน แต่ไม่เหมือนกัน ความเศร้าเป็นอารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ มันมักจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในชีวิตที่เครียดหรือทำให้เสียใจ ส่วนภาวะซึมเศร้าเป็นความผิดปกติทางสุขภาพจิตที่รุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เศร้าหมอง ท้อแท้ ไม่มีความสุข ไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำประจำ เบื่อทุกสิ่งรอบข้าง อารมณ์หงุดหงิดง่ายขึ้น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไม่อยากยุ่งกับใคร เริ่มเก็บตัวอยากอยู่คนเดียว เมื่ออาการหนักมากขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ ทำให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น ทำร้ายร่างกายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตาย เป็นต้น ความเศร้าเป็นส่วนหนึ่งของภาวะซึมเศร้า แต่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากความโศกเศร้าเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน สิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงพัฒนาการของภาวะซึมเศร้าได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : HelloKhunmor ดังนั้น การไปพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด หากคุณเกิดความสงสัยว่าคุณมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ แพทย์จะทำการวิเคราะห์และรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือมีภาวะเครียดสะสม คือ IV Drip สูตร Depressed Support วิตามินสูตรเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า หดหู่ วิตกกังวล IV Drip สูตรนี้จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเกร็งของกล้ามเนื้อ และสนับสนุนการทำงานของระบบปลายประสาทให้ดียิ่งขึ้น IV Drip Depressed Support ราคา 3,800 บาท/ครั้ง Package 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง ราคา 19,000 บาท 10 ครั้ง แถม 3 ครั้ง ราคา 38,000 บาท Vitamin IV Drip

  • ทํางานหนัก พักผ่อนน้อย เสี่ยงภาวะต่อมหมวกไตล้า

    ในปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มในการทำงานหนักมากขึ้น และพฤติกรรมเสี่ยงต่อภาวะต่อมหมวกไตล้า เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ การประชุมงานหนัก ทำงานล่วงเวลา หรือ Work from home ทำให้แยกงานออกจากเวลาส่วนตัวไม่ได้ แม้กระทั่งการเสพติดข่าว หรือติดซีรีส์ ที่ลดทอนเวลาพักผ่อนไปอีกหลายๆชั่วโมง พฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ส่งผลทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียสะสม นอนไม่หลับหรือหลับไม่สบาย มากกว่า 1 เดือน เพราะเกิดจากภาวะเครียดเรื้อรัง จนเกิดปัญหาสุขภาพตามมา ผลเสียที่ตามมาจากการทำงานหนัก ภูมิคุ้มกันทำงานแย่ลง ส่งผลให้ป่วยบ่อย ป่วยง่าย หรือติดเชื้อง่าย เนื่องจากร่างกายจะใช้เวลาในขณะที่คุณนอนหลับในการซ่อมแซมอวัยวะส่วนต่างๆ เพื่อให้อวัยวะได้พักตามนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) หากเราอดนอนสะสมเป็นระยะเวลานาน เท่ากับว่าร่างกายไม่ได้พักผ่อนและซ่อมแซมตนเอง จะทำให้อวัยวะทำงานหนักตลอดเวลา ส่งผลให่เราป่วยง่าย ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง สมองสั่งการช้าลงและประสิทธิภาพความจำลดลง การทำงานหนักจนไม่ได้หลับไม่นอน จะทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลช้าลง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่ดีเหมือนเคย เมื่ออดนอนเป็นระยะเวลานานๆจะทำให้เกิดอาการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้การอดนอนยังทำให้ความจำลดลง ส่งผลโดยตรงต่อระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้เราอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น ความเครียดสะสม อาจนำพาอารมณ์เครียดมาให้เราได้ ซึ่งความเครียดเหล่านั้นจะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว อ่อนล้า คลื่นไส้ อารมณ์แปรปรวน และยังทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงอีกด้วย นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisal) ออกในจำนวนมากเพื่อมากำจัดความเครียด เมื่อ Cortisal ถูกผลิตมาใช้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ระดับ Cortisal ที่ผลิตได้ไม่เพียงพอจะลดลงจนอยู่ในระดับต่ำ เป็นผลให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตล้า (Adrenal Fatigue) จัดการกับความเครียดไม่ได้ และร่างกายเสื่อมรวมไปถึงแก่เร็ว ซึ่งความเครียดมีผลทำให้สภาพผิวของเราอ่อนแอ ภาวะต่อมหมวกไตล้า (Adrenal Fatigue) มีความเครียดเป็นตัวกระตุ้นโดยเกิดได้จากหลายปัจจัย เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับฮอร์โมนหลายชนิด เช่น Cortisol, DHEAs รวมถึงฮอร์โมนเพศที่จะสวิงผิดเพี้ยนไปได้ เริ่มต้นจะมีอาการที่ไม่รุนแรงและยังใช้ชีวิตต่อไปได้ หลายคนจึงเลือกมองข้ามและไม่รีบแก้ไข ซึ่งหากสะสมภาวะอาการเหนื่อยล้านี้ไว้นานเข้า อาจยากต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมและเกิด Chronic หรืออาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่รุนแรงตามมาได้ จนร่างกายพัง เราจึงจำเป็นต้องรู้ให้เท่าทัน ตรวจวินิจฉัยภาวะต่อมหมวกไตล้านี้ก่อนที่จะสายเกินแก้ สัญญาณเตือนอาการต่อมหมวกไตล้า หากมีเกิน 7 ข้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์ ขี้เกียจตื่นนอนตอนเช้า ตื่นนอนแล้วรู้สึกไม่สดชื่น นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ กลางวันรู้สึกเหนื่อยอยากพัก แต่ตอนกลางคืนไม่ง่วง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกมีแรงตอนได้รับประทานของหวาน อยากเค็มมากกว่าปกติ เวลาลุกหรือนั่งจะมีอาการหน้ามืด ความรู้สึกทางเพศลดลง อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ผิวแห้ง แพ้ง่าย ดูหมองคล้ำ ภูมิแพ้กำเริบบ่อยๆ เครียด กังวล ซึมเศร้า ไม่ค่อยสนุกกับสิ่งรอบตัว ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ปวดประจำเดือนบ่อย ปวดหลัง ปวดคอ ความจำลดลง ขี้ลืมกับเรื่องที่ไม่ค่อยลืม ผมร่วงไม่มีสาเหตุ ท้องอืด อาหารไม่ย่อย สำหรับการดูแลภาวะหมวกไตล้าแบบเร่งด่วนต้อง IV Drip สูตร Adrenal Fatigue Support เป็นวิตามินสูตรเฉพาะที่จะมาช่วยแก้ปัญหาภาวะต่อมหมวกไตล้า อีกทั้งยังมีวิตามินแร่ธาตุต่างๆที่ช่วยซัพพอร์ตร่ายกายได้อย่างดี ประโยชน์ของ IV Drip Adrenal Fatigue Support ช่วยบำรุงต่อมหมวกไตให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้พลังงานระดับเซลล์ ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย คลายกล้ามเนื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงหลอดเลือดในสมอง บำรุงหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ลดความเสื่อมของเซลล์ผิว แนะนำดริปต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง หลังจากนั้น Maintain เดือนละ 1 ครั้ง หรือเมื่อต้องการเสริมสร้างพลังงานให้ร่างกายจากความเหนื่อยล้า IV Drip Adrenal Fatigue Support ราคา 3,800 บาท/ครั้ง Package 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง ราคา 19,000 บาท 10 ครั้ง แถม 3 ครั้ง ราคา 38,000 บาท การรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้า ให้ฮอร์โมนต่างๆ กลับมาสู่สภาวะสมดุล อาจจะใช้เวลา 2-3 เดือน หรือมากกว่านั้น เพราะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก หลายๆคนจึงไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ เพราะไม่สามารถฝืนพฤติกรรมที่เคยชิน พร้อมด้วยความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นจึงควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาปัญหาสุขภาพที่ ไธรฟ์ คลินิก เพื่อการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด #ทำงานหนัก #ต่อมหมวกไตล้า #ความเครียดสะสม #ปรับสมดุลฮอร์โมน

  • ฮอร์โมนที่สำคัญต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ มีอะไรบ้าง?

    ฮอร์โมนของผู้ที่ตั้งครรภ์ แท้จริงแล้วมีหลายชนิดซึ่งหลายๆ คนอาจจะรู้จักแค่ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) วันนี้เราจะมาแนะนำฮอร์โมนคนท้องทั้งหมด 6 ฮอร์โมนว่ามีอะไรบ้างและสำคัญอย่างไร 6 ฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) คือ ฮอร์โมนเพศหญิงที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง มีหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง โดยส่วนใหญ่ผลิตจากรังไข่ แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะผลิตฮอร์โมนชนิดนี้น้อยลง เมื่อตั้งครรภ์ฮอร์โมนนี้จะถูกผลิตออกมาจากรกอีกหนึ่งทาง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ และช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) คือ ฮอร์โมนเพศหญิงที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมอาการไข่ตกและการมีประจำเดือน และสร้างฮอร์โมนหลายชนิด รวมถึงมีส่วนช่วยควบคุมการหลั่งฮอร์โมนด้วย จึงมีความสำคัญต่อการเกิดรอบเดือนและการตั้งครรภ์โดยตรง ยิ่งในช่วงขณะตั้งครรภ์โปรเจสเตอโรนจะช่วยกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนาตัวขึ้น เพื่อให้ไข่ที่ถูกผสมจนเกิดการปฏิสนธิฝังตัวและเติบโตเป็นทารกได้ และช่วยยับยั้งมดลูกไม่ให้บีบตัว แต่เมื่อใกล้คลอดโปรเจสเตอโรนจะลดปริมาณลง มดลูกจึงบีบตัวเพื่อช่วยในการคลอดลูก ฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) คือ ฮอร์โมนตั้งครรภ์ เป็นฮอร์โมนที่ผลิตมาจากเซลล์ของรก ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ผู้หญิงตั้งครรภ์เท่านั้น ฮอร์โมน hCG จะช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูก ช่วยกระตุ้นให้รังไข่ให้สร้างฮอร์โมนตัวอื่นๆ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมน hCG จะค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้น และยังสามารถใช้ในการตรวจการตั้งครรภ์ได้อีกด้วยเพราะฮอร์โมน hCG จะมีอยู่ในเลือดกับปัสสาวะ ฮอร์โมน hPL (Human Placental Lactogen) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นจากรก โดยมีหน้าที่ส่งสารอาหารไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์และช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมของคุณแม่ให้พร้อมสำหรับการให้นมลูก ฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตมาจากต่อมใต้สมอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นต่อมเต้านมของคุณแม่ให้สร้างน้ำนมและหลั่งน้ำนม รวมไปถึงช่วยในการควบคุมการตกไข่ เพื่อให้ประจำเดือนมาปกติ ฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมองไฮโปทาลามัส (hypothalamus) โดยฮอร์โมนตัวนี้จะสัมพันธ์กับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะมักจะหลั่งออกมาตอนที่ผู้หญิงคลอดลูก ช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบรัดตัวมากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำนมให้เพียงพอต่อลูกน้อย ดังนั้นฮอร์โมนคนท้องจึงมีความสำคัญต่อคุณตั้งครรภ์อย่างมากเพราะนอกจากจะช่วยปรับเปลี่ยนร่างกายให้คุณแม่มีความพร้อมต่อทารกในครรภ์แล้ว ฮอร์โมนคนท้องยังมีผลต่อการช่วยให้ตัวอ่อนฝั่งตัวในมดลูก และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์อีกด้วย รวมไปถึงอาจส่งผลให้คุณแม่มีการเปลี่ยนแปรงทางด้านอารมณ์ และการเปลี่ยนแปรงทางด้านร่างกาย ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์

  • ขาด Vitamin D เสี่ยงภาวะซึมเศร้า

    สำหรับคนเป็นภาวะซึมเศร้านอกจากจะบำบัดผู้ป่วยทางด้านจิตใจและปัญหาทางอารมณ์แล้ว การเสริมวิตามินก็สำคัญเพราะคนที่เป็นโรคซึมเศร้า กว่า 70% มักพบว่าร่างกายขาดวิตามินดี (Vitamin D) วันนี้เราจะมาบอกถึงประโยชน์ของวิตามินดี (Vitamin D) ที่เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับคนเป็นโรคซึมเศร้า วิตามินดี (Vitamin D) มีประโยชน์มากกว่าเรื่องกระดูกและฟัน วิตามินดีมีหน้าที่ควบคุมความสมดุลของแร่ธาตุ (Minerals), แคลเซียม (Calcium) และฟอสเฟต (Phosphate) ซึ่งมีผลต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง นอกจากนี้ หลายท่านยังไม่ทราบว่า วิตามินดีนั้น ทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งซึ่ง ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยคลายความเครียด ลดภาวะซึมเศร้า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกันป้องกันเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่างกาย เมื่อร่างกายขาดวิตามินดี (Vitamin D) สำหรับคนที่แสดงอาการของภาวะซึมเศร้าแบบให้เห็นเด่นชัด มักจะมีระดับวิตามินดีที่ต่ำมากกว่าปกติ หากมีความรุนแรงอาการจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อวิตามินดีมีระดับต่ำลงมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสมองส่วนไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะซึมเศร้า โดยการผ่านกลไกของ Vitamin D receptor (VDR) โดยในร่างกายของมนุษย์จะพบ Vitamin D receptor (VDR) มากในสมองส่วนไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมไร้ท่อที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาท (Neuroendocrine System) ซึ่งสามารถรู้ได้ด้วยการตรวจระดับวิตามินดี จากเลือด (Blood test) พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ขาดวิตามินดี (Vitamin D) ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ และไม่ต่อเนื่อง หากต้องการรับวิตามินดีจากธรรมชาติควรออกมาเดินหรือวิ่งรับแดดในช่วงเช้าเวลา 06:00-09:00 น. ช่วงเย็น 16:00-18:00 น. อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวหนังของคุณเรียนรู้ที่จะรับแสงแดด มาเปลี่ยนเป็นวิตามินดีตามธรรมชาติในร่างกาย การรับวิตามินดีระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินดีได้ ควันและฝุ่นละออง ซึ่งเป็นมลพิษทางอาการ เป็นเสมือนตัวขัดขวางไม่ให้ผิวหนังได้รับแสงแดดโดยตรง จึงทำให้กระบวนการสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายลดลง หากมองรวมกับวิถีชีวิตที่ปัจจุบัน คนใช้ครีมกันแดด และทำงานในอาคารในห้องแอร์ ยิ่งทำให้โอกาสที่ผิวหนังได้สัมผัสแสงแดดยิ่งลดลง การดูดซึมวิตามินดีผ่านทางเดินอาหารบกพร่อง จากโรคที่ส่งผลให้การดูดซึมวิตามินดีลดลง เช่น โรคของซีลิแอ็ก (Celiac disease) ซึ่งเป็นโรคที่ภูมิคุ้มกันของตนเองจะไปทำลายผนังลำไส้ส่งผลให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารและวิตามินได้ นอกจากนี้ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กก็มีส่วนทำให้การดูดซึมวิตามินดีลดลงได้ ผู้สูงอายุ เนื่องจากพออายุมากขึ้นร่างกายจะเสื่อมลงตามธรรมชาติ “ในวัยสูงอายุ การสร้างวิตามินดีเองลดลง จึงควรได้รับวิตามินดีทดแทน ทั้งจากแหล่งอาหารทั่วไป และวิตามินดีเสริม” https://www.rama.mahidol.ac.th/fammed/th/article/patient/28jul2020-1235 แหล่งรวมวิตามินดี (Vitamin D) ภาวะซึมเศร้าส่วนใหญ่มักพบว่าร่างกายขาดวิตามินดี (Vitamin D) ที่ทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลง ดังนั้นผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถตรวจระดับวิตามินดี (Vitamin D) หรือเช็กระดับวิตามินแร่ธาตุในร่างกายด้วย Oligoscan เพราะตรวจครั้งเดียวใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที ไม่เจ็บตัว รู้ผลเร็ว มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า พร้อมตรวจหาโลหะหนัก 15 รายการ และแร่ธาตุ 21 รายการ ได้พร้อมกันทันที ตรวจสารพิษโลหะหนักด้วย Oligoscan Bach Flower Therapy

  • World Heart Day วันหัวใจโลก

    World Heart Day วันหัวใจโลก ตรงกับวันที่ 29 กันยายนของทุกปี ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อตระหนักถึงความสำคัญจของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากรโลก ซึ่งในปี 2023 นี้มาพร้อมกับธีม “Use Heart for Every Heart” ❤️ ในปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือไม่ออกกำลังกาย ความเครียดสะสม ความดันโลหิตสูง เเละการละเลยที่จะดูเเลสุขภาพหัวใจให้เเข็งเเรง ซึ่งการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โรคหัวใจ (Heart Disease) คือ โรคที่กระทบต่อการทำงานของหัวใจส่งผลให้การทำงานของหัวใจเกิดความผิดปกติไป โรคหัวใจโดยทั่วไปจำแนกเป็น3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน กลุ่มที่มีการนำไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ เช่น โรคหัวใจเต้นพลิ้ว เป็นต้น อาการของโรคหัวใจ อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการสำคัญของโรคหัวใจ ลักษณะอาการเจ็บหน้าอกที่ชวนสงสัยว่าอาจเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่ เจ็บแน่นคล้ายถูกของหนักทับ มักเป็นบริเวณกลางอก ไม่สามารถระบุจุดที่ปวดมากที่สุดชัดเจนได้ อาจมีร้าวไปที่ไหล่ สะบัก ขากรรไกร แขนซ้ายด้านใน หรือแขนทั้งสองข้างได้ อาการเจ็บหน้าอกมักเป็นมากขึ้นตอนออกแรงหรือมีกิจกรรม และอาการจะทุเลาเมื่อหยุดพัก นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บหน้าอกจากสาเหตุอื่นๆ เช่น หลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด จะมีความแตกต่างกันคือมีอาการเจ็บหน้าอกแบบแปล๊บแหลม เสียดแทงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ร้าวทะลุกลางหลัง อาจมีอาการเหนื่อยผิดปกติ และหน้ามืดร่วมด้วย หรืออาการเจ็บจากภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาจเจ็บบริเวณกลางอกค่อนไปทางด้านซ้าย เจ็บจี๊ด ๆ แหลม ๆ เป็นมากขึ้นเวลาที่หายใจเข้าหรือไอ อาการเหนื่อย ผู้ป่วยจะหายใจเร็วและตื้น ทำกิจกรรมได้อย่างจำกัด อาจมีอาการเป็นมากขึ้นตอนนอนราบ ทำให้นอนราบไม่ได้เมื่อนั่งหรือหนุนหมอนสูงแล้วจะดีขึ้น อาจมีอาการขาบวมร่วมด้วย อาการเขียว เกิดจากออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงลดลง อาจมีภาวะเขียวให้เห็นได้ทั้งที่ริมฝีปาก ใบหน้า หรือ ปลายมือปลายเท้า อาการใจสั่น อาการที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ อาจเป็นชั่วคราวและหายเองหรือเป็นตลอดเวลา อาจมีอาการหน้ามืด วูบ ร่วมด้วย อาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติ อาจกินเวลาเพียงเสี้ยววินาที หรือเป็นนาทีได้ มีภาวะชักเกร็งได้หลังจากฟื้นรู้ตัว ผู้ป่วยมักจะกลับเป็นปกติ ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรงใด ๆ ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล โรคหัวใจอาจเกิดได้จากกรรมพันธุ์ หรือโรคประจำตัวที่มีอยู่ เช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง แต่ในปัจจุบันการเกิดโรคหัวมักมาจากการไม่ดูแลสุขภาพหรือละเลยการตรวจร่างกาย ดังนั้นควรดูแลสุขภาพเริ่มต้นจากการออกกำลังกาย เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ร่วมไปถึงการตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยดูแลหลอดเลือดหรือช่วยให้เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้มากยิ่งขึ้น คือ คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) จะช่วยล้างพิษหลอดเลือดผ่านทางน้ำเกลือที่มีสารประกอบทางเคมีที่ให้เป็นประเภทกรดอะมิโนที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่หลักในการเข้าไปจับสารโลหะหนักในกระแสเลือด และค่อยๆดึงโลหะหนักที่สะสมในเนื้อเยื่อออกมา เช่น สารหนู (Arsenic), ปรอท (Mercury), อะลูมิเนียม (Aluminum), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium), โครเมียม (Chromium), ซีเลเนียม (Selenium), ทองแดง (Copper) หรือแม้แต่แคลเซียม (Calcium) ส่วนเกิน ซึ่งประโยชน์ของการทำคีเลชั่นบำบัด Chelation Therapy คือ ขจัดสารพิษตกค้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด, ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจขาดเลือด, ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนเลือดที่ไม่ดี, ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เป็นต้น นัดหมายเพื่อ Consult ปัญหาสุขภาพหัว กับคุณหมอ Anti-Aging ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ก่อนที่โรคหัวใจมาเคาะเรียกคุณ คีเลชั่นบำบัด Chelation Therapy

bottom of page