top of page

Thrive Wellness Clinic

  • Facebook
  • YouTube
  • Instagram

ชั้น2 เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา 
Opening Hours เวลาเปิดทำการ 10:00 -19:30 

thrive-clinic.png

Search Results

พบ 198 รายการสำหรับ ""

  • 3 แร่ธาตุหลักสำหรับสาวๆ Working Woman

    สาวๆหลายคนที่กำลังเป็น Working woman ทำงานหนักจนลืมหันมาดูแลตัวเอง พักผ่อนน้อย เครียดกับงานมากจนเกินไป จนร่างกายพังและขาดวิตามินแร่ธาตุบางชนิดไป วันนี้ ไธรฟ์ คลินิก มีแร่ธาตุหลักสำหรับสาวๆ Working woman ที่ขาดไม่ได้มาฝาก 3 แร่ธาตุสำหรับ Working Woman ซิงค์ (Zinc) มีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็น ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสริมกระบวนการเจริญเติมโตต่างๆในร่างกาย ต้านการอักเสบของผิว ช่วยในการมองเห็น อีกทั้งยังช่วยเรื่องการนอนหลับที่ดีขึ้น แต่หากเราทำงานหนักจนเกิดความเครียดซิงค์ในร่างกายลดลงก่อนวัยอันควร ดังนั้นควรเสริมซิงค์ให้กับร่างกาย เพราะจะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราทำงานได้ดี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย และยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็ว แมกนีเซียม (Magnesium) จะคอยควบคุมสมดุลแคลเซียมในกระดูกและในเลือด ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน ช่วยกระตุ้นวิตามินบี ซี อี อีกทั้งยังช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและหลอดเลือด สำหรับคนที่ทำงานหนักจนต้องเจอกับความเครียด นอนไม่หลับ ควรเสริมด้วยแมกนีเซียม เนื่องจากแมกนีเซียมจะเพิ่มสารสื่อประสาท GABA (Gamma Amino Butyric Acid) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง ช่วยเพิ่มการผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล ช่วยให้นอนหลับได้สนิทมากขึ้น โซเดียม (Sodium) เป็นแร่ธาตุอีกหนึ่งชนิดที่สำคัญสำหรับร่างกายมาก แต่ร่างกายเราไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นต้องรับจากการทานอาหารเท่านั้น ได้แก่ ผลไม้ทุกชนิด ผัก เนื้อปลา ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งจะ มีปริมาณโซเดียมที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โซเดียมจะช่วยรักษาสมดุลของน้ำรวมถึงของเหลวในร่างกาย คอยควบคุมและลดระดับความดับโลหิต และช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้ออีกด้วย ทั้งนี้ไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมหรือไตวายได้ เคล็ดลับการดูแลสุขภาพสำหรับ Working Woman ที่ใครๆก็ทำได้ พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เพราะจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายได้รับการซ่อมแซมที่ดี หากนอนไม่พอนอกจากจะเสียสุขภาพแล้วประสิทธิภาพในการทำงานของคุณก็จะลดน้อยลงอีกด้วย เลือกกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ เพราะในแต่ละวันร่างกายต้องการสารอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต รวมไปถึงน้ำและใยอาหาร จึงจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และเลือกกินอาหารที่หลากหลาย และควรทานอาหารให้ตรงเวลาเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหารพัง โรคกระเพาะ เป็นต้น ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ช่วยเรื่องผิวพรรณแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอยังดีต่อสมองและระบบประสาทอีกด้วย เพราะน้ำคือส่วนประกอบที่สำคัญของเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงร่างกายและสมอง อีกทั้งลดคลายความเครียด ลดอาการปวดหัว และช่วยเพิ่มพลังให้กับสมองนั่นเอง ไม่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน สำหรับคนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศควรลุกเดินหรือขยับร่างกายทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดเมื่อกล้ามเนื้อ ลดอาการออฟฟิศซินโดรม อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดและความกดดันได้ หากไม่แน่ใจว่าร่างกายของคุณขาดแร่ธาตุทั้ง 3 ตัวนี้หรือไม่ และไม่ทราบว่าควรเสริมยังไงให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรปรึกษาแพทย์เพราะแพทย์จะแนะนำวิธีการเสริม รักษา และปรับสมดุล หรือแนะนำเป็นตรวจ Oligoscan ที่มีความแม่นยำสูงนอกจากจะตรวจหาระดับวิตามินแร่ธาตุถึง 20 รายการ แล้วยังสามารถตรวจสารพิษโลหะหนักได้อีก 14 รายการ เพื่อการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับสมดุลอย่างตรงจุด ตรวจสารพิษโลหะหนักด้วย Oligoscan ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงวัย 30 ทํางานหนัก พักผ่อนน้อย เสี่ยงภาวะต่อมหมวกไตล้า หน้าดำ หน้าหมองคล้ำ เพราะเครียดเกินไปหรือเปล่า

  • วันต่อต้านมะเร็งแห่งชาติ เพราะมะเร็งคือโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรา

    กรมการแพทย์ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ชวนคนไทยร่วมต้านภัยโรคมะเร็งเนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ 10 ธันวาคม เพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตาย อันดับ 1 ของคนไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน โรคมะเร็ง คืออะไร มะเร็ง (Cancer) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรม ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างไร้การควบคุม เซลล์ร้ายพัฒนากลายเป็นก้อนมะเร็งที่รบกวนการทำงานของเซลล์ปกติในอวัยวะ และแพร่กระจายลุกลามผ่านทางระบบเลือด และระบบทางเดินน้ำเหลืองไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย เช่น ปอด ตับ ลำไส้ เต้านม หรือต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับจุดกำเนิดโรค และชนิดของเซลล์มะเร็ง โรคมะเร็งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ดังนี้ คาชิโนมา (Carcinoma) เป็นมะเร็งที่พัฒนาขึ้นที่เซลล์เยื่อบุทั้งด้านใน ด้านนอกของผิวหนังเรา ซาโคมา (Sarcoma) มะเร็งชนิดนี้มีจุดกำเนิดมาจากกระดูก ไขมัน กล้ามเนื้อ ท่อน้ำเหลือง หลอดเลือด เอ็น และเส้นเอ็น มะเร็งกระดูกที่พบมากที่สุดคือ มะเร็งกระดูกออสทีโอซาร์โคมา (Osteosarcoma) ลิวคีเมีย (Leukemia) มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีจุดกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ผลิตเลือดในไขกระดูก ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่พบเป็นก้อนเนื้องอก เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติจะแบ่งตัวเร็วกว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ ดังนั้นร่างกายจึงไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอ ไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค และทำการหยุดเลือดได้ ลิมโฟม่า (Lymphoma) เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในต่อมน้ำเหลืองและเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำเหลืองของร่างกาย เช่น ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส และไขกระดูก 5 อันดับโรคมะเร็งที่คนไทยเป็นมากที่สุด มะเร็งตับและท่อน้ำดี โรคมะเร็งตับ เป็นโรคที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 3 เท่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 30- 70 ปี โรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ ซึ่งกว่าจะได้รับการวินิฉัยก็มักจะอยู่ในท้ายโรคและไม่สามารถรับการรักษาได้ทัน ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากที่สุด โรคมะเร็งท่อน้ำดี พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เกิดจากเซลล์เยื่อผิวภายในท่อน้ำดีมีการเปลี่ยนแปลง หรือเจริญเติบโตผิดปกติจนเป็นมะเร็ง มะเร็งปอด มะเร็งปอด เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวของปอดเจริญเติบโตผิดปกติอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถควบคุมได้ และเกิดเป็นก้อนเนื้อร้าย โดยเนื้อร้ายนี้สามารถลุกลามและกระจายไปอวัยวะอื่นๆได้ ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวก็มักจะอยู่ในระยะโรคที่รุนแรงแล้ว โดยโรคมะเร็งปอดจะถูกพบมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในผู้ชายไทย สาเหตุหลักๆของมะเร็งปอดมักมาจากการสูบบุหรี่ หรือรับควันบุหรี่ โดยอาการเริ่มแรกมักมีการไอเสมหะหรือไอมีเลือด เจ็บหน้าอก หายใจดังและถี่ ความอยากอาหารลดลง เป็นต้น มะเร็งลําไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมักเกิดจากติ่งเนื้อขนาดเล็ก ที่เรียกว่า โพลิป เป็นเซลล์เนื้อผิดปกติ ที่งอกจากผนังลำไส้ มีขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติเพราะติ่งเนื้อมีขนาดที่เล็ก โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี ในการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งลำไส้ ซึ่งหากสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่เริ่มแรกและก็สามารถทำการตัดรักษาให้หายได้ มะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งปากมดลูก มักพบในช่วงอายุ 30-70 ปี เกิดขึ้นในเซลล์ปากมดลูกซึ่งอยู่บริเวณช่วงล่างของมดลูกและเชื่อมต่อกับช่องคลอด โรคมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อร่างกายได้รับเชื้อ HPV ประกอบกับปัจจัยเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนคู่นอน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย หรือภูมิคุ้มกันตกง่ายแก่การติดเชื้อไวรัส HPV ยิ่งเพิ่มโอกาสที่เชื้อไวรัสทำให้เซลล์ที่ปากมดลูกเกิดความผิดปกติและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด มะเร็งเต้านม มะเร็งเต้านม เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลล์เหล่านี้มีการแบ่งตัวผิดปกติที่ไม่สามารถควบคุมได้ มักแพร่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง ไปสู่อวัยวะที่ใกล้เคียง เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ หรือแพร่กระจายไปสู่อวัยวะที่อยู่ห่างไกล เช่น กระดูก ปอด ตับ เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆนั่นเอง ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุด คือ อายุ 45-50 ปี มาเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วย NK Cell Therapy ​พร้อมต่อสู้ไวรัส และกำจัดเซลล์มะเร็ง NK Cell (Natural Killer Cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายที่มีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็ง โดยมีสัดส่วนเพียง 1% ของเม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรา และเป็นเซลล์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีปฏิกิริยาแอนติเจนและแอนติบอดี ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถแยกแยะและมุ่งสู่เป่าหมายเพื่อกำจัดและทำลายเซลล์มะเร็ง เชื้อโรค รวมถึงไวรัสชนิดต่างๆซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายของเราได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีประสิทธิภาพสูง ปรึกษาคุณหมอเรื่องการดูแลภูมิคุ้มกัน NK Cell Therapy โทร. 095-934-9640 NK Cell คืออะไร NK Cell เม็ดเลือดขาว Iymphocyte ตัวจัดการเซลล์มะเร็งในร่างกาย ดูแลสุขภาพต้านโรคมะเร็ง

  • อยากมีลูกคนที่2 แต่ท้องยาก ต้องบำรุงอย่างไร

    ในปัจจุบันมีไม่น้อยสำหรับคุณแม่ที่มีลูกคนแรกมาแล้วอย่างง่ายดาย แต่พออยากมีคนที่สองกลับมียาก พยายามเท่าไหร่น้องก็ไม่มาสักที จนบางคนก็กลายเป็นผู้มีบุตรยากไปโดยที่ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร สำหรับคุณแม่ที่อยากลูกคนที่สองแต่กลับติดยาก หรือท้องสองยากเราจะเรียกว่า Secondary Infertility เป็นภาวะมีบุตรยากที่เกิดขึ้นหลังจากเคยผ่านการมีลูกมาแล้ว เนื่องจากร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงภายหลังจากการมีลูกครั้งแรก ซึ่งสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ที่พบได้บ่อย คือ อายุที่มากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป จะส่งผลต่อความสมบูรณ์ของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของรังไข่จะลดประสิทธิภาพลงได้อย่างชัดเจน ผลิตเซลล์ไข่น้อย ไข่ไม่มีคุณภาพ การกระตุ้นไข่จะให้ผลลัพธ์ที่ลดลงมากกว่าคนอายุน้อยๆ เพราะรังไข่จะตอบสนองได้น้อยลง อีกทั้งยังเสี่ยงต่อภาวะแท้งบุตร ภาวะรกเกาะต่ำ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด และเสี่ยงต่อทารกอาจมีความผิดปกติทางโครโมโซม รังไข่เสื่อม เมื่อรังไข่เสื่อมรังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศได้น้อยลง และฮอร์โมนกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ไข่ทำงานผิดปกติ ส่งผลโดยตรงต่อการมีลูกจะทำให้การมีลูกในครั้งนี้เป็นไปได้ยากกว่าครั้งแรก ในบางคนอาจต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วยเพราะไม่สามารถมีลูกโดยวิธีธรรมชาติได้เลย ปัญหาของท่อนำไข่ ความผิดปกติหลายๆอย่างอาจเกิดขึ้นหลังจากมีลูกคนแรก รวมไปถึงความผิดปกติของท่อนำไข่เกิดการตีบตันจนไข่ไม่สามารถผ่านท่อนำไข่เพื่อไปปฏิสนธิกับอสุจิได้ แต่อสุจิจะเล็ดลอดผ่านเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้สำเร็จก็ไม่สามารถนำตัวอ่อนย้ายมาฝั่งตัวที่โพรงมดลูกได้อยู่ ปัญหาท่อนำไข่ตีบตันยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการท้องนอกมดลูกอีกด้วย วิธีการบำรุงและดูแลตัวเองก่อนมีลูกคนที่สอง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อลดปัญหาการขาดสารอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เลือด เนื้อสัตว์ เน้นทานพวกธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้ และ โปรตีนจากปลา ส่งผลต่อดีต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งการพักผ่อนจะช่วยลดความตึงเครียดช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงมดลูกได้ดีขึ้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์โดยออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น โยคะ เอโรบิค เป็นต้น ไม่แนะนำให้ออกแบบหักโหมจนเกินไป เพราะถ้าออกกำลังกายหนักหรือหักโหมจนเกินไปอาจส่งผลต่อการตกไข่ และประจำเดือนมาผิดปกติได้ ปรึกษาแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมีลูกอีกครั้งควรตรวจสุขภาพอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อตรวจดูโรคประจำตัว ตรวจหาความเสี่ยงต่างๆ เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้อย่างปลอดภัยที่สุด หรือให้ ไธร์ฟ คลินิก ช่วยวางแผนเตรียมความพร้อมและดูแลสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ ด้วยโปรแกรมการตรวจสุขภาพ Family Planning Check Up ที่ช่วยเช็กฮอร์โมน AMH เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของรังไข่ ตรวจฮอร์โมน เพื่อช่วยเพิ่มความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้กับคุณ Family Planning Check Up ♀️Package ตรวจคุณผู้หญิง 15 รายการ / 11,800.- ♂️Package ตรวจคุณผู้ชาย 19 รายการ / 6,780.- ฮอร์โมน AMH Hormone ภาวะเลือดจาง ส่งผลให้มีลูกยากจริงไหม!!

  • อยากมีน้องต้องบํารุง การเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ สำหรับผู้มีบุตรยาก

    สำคัญผู้ที่กำลังวางแผนในการมีลูก สิ่งสำคัญก็คือ การเตรียมความพร้อม สุขภาพจะทำให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้ง่ายขึ้น สำหรับหลายๆคนที่ยังไม่ทราบว่าการเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์ต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้ ไธร์ฟ คลินิก มีเคล็ดลับดีๆ ทั้งการเสริม และการลด มาฝากว่าที่คุณแม่ ดังนี้ การเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นก่อนตั้งครรภ์ การเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นก่อนตั้งครรภ์จะช่วยส่งผลดีต่อการตั้งครรภ์ ได้แก่ ส่งผลต่อคุณภาพและการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่, การปฏิสนธิสำเร็จง่ายขึ้น, การฝังตัวของตัวอ่อน, การเจริญเติบโตของตัวอ่อน และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของภาวะเจริญพันธุ์ Folic Acid - กรดโฟลิกเป็นวิตามินที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของผู้ที่ต้องการตั้งครรภ์ สามารถรับประทานกรดโฟลิกระหว่างเตรียมร่างกาย 1-3 เดือน เพื่อช่วยป้องกันภาวะซีดหรือโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์ โฟลิกยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย ป้องกันภาวะซีดหรือโลหิตจาง ป้องกันโรค NCDs และโรคอัลไซเมอร์ และช่วยลดความเสี่ยงจากความพิการของทารกแต่กำเนิดอีกด้วย Coenzyme Q10 - โคเอ็นไซม์ คิว 10 จะช่วยเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ไข่ปฏิสนธิได้สมบูรณ์ ช่วยดความเสื่อมของเซลล์ไข่ ช่วยให้เซลล์ไข่สามารถแบ่งเซลล์ได้เป็นปกติ กลายเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์ ฝังตัวเป็นครรภ์ที่แข็งแรงต่อไป Omega 3 - โอเมก้า 3 ช่วยเพิ่มการสร้าง nitrix oxide ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะสืบพันธุ์ได้ดีขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มคุณภาพเซลล์ไข่ โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 35 ขึ้นไปที่เซลล์ไข่เริ่มเสื่อมคุณภาพ การทำงานของรังไข่ลดลง Iron - ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุสำคัญสำหรับเพศหญิง บำรุงเม็ดเลือดแดง ช่วยลดภาวะโลหิตจาง ช่วยช่วยในการสร้าง DNA และ RNA ที่ช่วยในการเติบโตของเซลล์ไข่ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับมดลูก อีกทั้งยังช่วยผลิตไข่ที่มีคุณภาพด้วย สังกะสี (Zinc) ทำให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้รังไข่สามารถผลิตไข่คุณภาพดีมากยิ่งขึ้น เมื่อรับประทานในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนวันตกไข่ Zinc จะช่วยในกระบวนการสร้าง cell และ DNA synthesis มีส่วนสำคัญในช่วงที่ไข่เริ่มแบ่งตัว ช่วยป้องกันการแท้งบุตร ลดปัจจัยเสี่ยง Lifestyle ที่ทำให้ตั้งท้องยาก การนอนดึก หรือคุณภาพการนอนหลับไม่ดี การไม่นอน และการนอนไม่เพียงพอในระยะยาวส่งผลโดยตรงต่อการสร้างฮอร์โมนหลายชนิด ได้แก่ Luteinizing Hormone (LH) ฮอร์โมนที่จะหลั่งออกมาในช่วงที่จะมีการตกไข่ หากฮอร์โมน LH ผิดปกติก็จะประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ หรือไข่ไม่ตก Growth Hormone เป็นฮอร์โมนที่ใช้สำหรับร่างกายในการซ่อมแซม จำเป็นแม้ในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งจะหลั่งออกมาในช่วงเวลา 22:00 มากที่สุด ดังนั้น การนอนดึกเกินไป ร่างกายจะขาดการสร้างฮอร์โมนชนิดนี้ Cortisol Hormone คอร์ติซอล หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ต่อการตั้งครรภ์ เพราะคอร์ติซอล ส่งผลต่ออารมณ์ และร่างกาย (Body Stress) ความเครียด เป็นตัวแปรที่ทำให้มีลูกได้ยากขึ้น เพราะฮอร์โมน Cortisol Hormone ฮอร์โมนความเครียดจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในระบบสืบพันธุ์ สังเกตได้จาก คุณผู้หญิงที่เครียดมากๆ ประจำเดือนจะคลาดเคลื่อน หรืออาจจะหายไปในช่วงเวลาหนึ่ง สะท้อนว่าความเครียดมีผลให้ตกไข่ช้า หรือไข่ไม่ตก ทำให้ไข่เจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ ยิ่งทำให้การฝังตัวอ่อนที่มดลูกนั่นเป็นไปได้ยากมากขึ้น การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก แอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นร่างกายให้ขับวิตามินต่างๆออกมาพร้อมกับการปัสสาวะ โดยเฉพาะวิตามินกลุ่มที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามินซี วิตามินบี อีกทั้งยังลดการดูดซึมของวิตามินในลำไส้เล็ก และลดการขับน้ำดีที่เป็นตัวพาไขมันเข้าสู่ร่างกาย วิตามินในส่วนที่ละลายได้ในไขมันก็จะไม่ถูกดูดซึม อีกทั้งยังทำลายตับ การสะสมของวิตามินต่างๆในตับมีจำนวนต่ำลง เมื่อกินวิตามินบำรุงเข้าไปวิตามินจะไม่ได้ถูกนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่ายกายขาดวิตามินนั่นเอง การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีควันบุหรี่ สารพิษในบุหรี่จะลดคุณภาพและประสิทธิภาพของมดลูก ซึ่งเป็นที่ฝังของตัวอ่อน ใและส่วนประกอบของควันบุหรี่จะเข้าไปฝังตัวกับเซลล์ในโครงสร้างรังไข่ ส่งผลให้รังไข่หยุดการตกไข่นั่นเอง อีกทั้งยังทำให้ผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (วัยทอง) เร็วกว่าปกติถึง 2 ปี อีกด้วย ดื่มกาแฟ มากกว่า 3 แก้วต่อวัน อย่างที่ทราบว่าในกาแฟจะมีสารคาเฟอีน และคาเฟอีนนี้เองหากได้รับมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน ทางสถิติจะเป็นการลดโอกาสการตั้งครรภ์กว่า 25% เพราะเสี่ยงต่อภาวะแท้งบุตรมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม เมื่อร่างกายรับคาเฟอีนเข้าไป จะถูกย่อยเป็นสาร Paraxanthine ซึ่งสามารถถูกดูดซึมผ่านรกและเยื่อหุ้มสมองของเด็กได้ จนส่งผลให้ทารกในครรภ์เกิดการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์และทำให้ทารกหยุดพัฒนาตัวอ่อน และแท้งในที่สุด ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ ทำให้เสี่ยงต่อการมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง อันนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวาน และมีแนวโน้มทำให้มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือมีภาวะอ้วน ไขมันในเลือดสูง และมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคหลอดเลือด ซึ่งส่งผลต่อการมีบุตรยาก ทั้งนี้การเสริมวิตามินต่างๆและลดปัจจัยเสี่ยง Lifestyle ที่ทำให้ตั้งท้องยากแล้ว คุณผู้หญิงควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเตรียมพร้อมเป็นว่าที่คุณแม่ หากใครยังไม่ทราบว่าควรเริ่มต้นดูแลตัวเองจากตรงไหนให้ ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก ช่วยดูแลสุขภาพและเตรียมพร้อมก่อนเป็นคุณแม่ ด้วยการตรวจฮอร์โมน AMH Hormone เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากรังไข่ บ่งบอกความสามาถในการทำงานของรังไข่ หรือบอกจำนวนไข่ที่สามารถผลิตได้ ซึ่งอยู่ในแพคเกจ Family Planning Check Up ♀️Package ตรวจคุณผู้หญิง 15 รายการ / 11,800.- ♂️Package ตรวจคุณผู้ชาย 19 รายการ / 6,780.- อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้หญิงที่ต้องการบำรุงก่อนตั้งครรภ์อย่าง Vitamin IV Drip สูตร Fertility Support เป็นวิตามินที่ช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายคุณผู้หญิง ฟื้นฟูรังไข่และมดลูก ช่วยเสริมวิตามินที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมมีบุตร หรือกำลังเตรียมทำ ICSI ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศตามธรรมชาติ IV Drip Fertility ราคา 9,000 บาท/ครั้ง 🩺รับคำปรึกษาจากแพทย์ด้ายเวชศาสตร์ชะลอวัยและป้องกัน เพื่อการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพอย่างเหมาะสมเฉพาะบุคคล ฮอร์โมน AMH Hormone ภาวะเลือดจาง ส่งผลให้มีลูกยากจริงไหม!! ภาวะหมดประจำเดือนที่ผู้หญิงต้องเจอ 10 วิตามินเสริม เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

  • Smiling Depression รอยยิ้มที่เป็นหน้ากากของความเศร้า

    คนที่มีภาวะซึมเศร้า อาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม จนคนรอบตัวอาจจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังป่วยเป็นภาวะซึมเศร้าอยู่ แต่ใครจะไปรู้ว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เวลาพบเจอมักจะเห็นแต่รอยยิ้มที่ดูสดใส ร่าเริง ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่ลึกในใจมีแต่ความเศร้าหมองเก็บฝังไว้ข้างใน ไม่แสดงออก หรือแสดงออกในทางตรงข้าม เราจะเรียกผู้ที่มีอาการซึมเศร้าแฝงแบบนี้ว่า Smiling Depression เป็นรอยยิ้มที่เป็นหน้ากากของความเศร้า ซึ่งในปัจจุบันคนที่ป่วยเป็นภาวะซึมเศร้าในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.5 ล้านคนต่อปี Smiling Depression คืออะไร Smiling Depression ได้ถูกตีความหมายเป็น high-funtioning depression หรืออาการซึมเศร้าที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดูเป็นคนที่มีบุคลิกภายนอกสดใส ร่าเริง ยิ้มง่ายหัวเราะง่าย และยังเป็นคนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นอีกด้วย แต่ถึงเวลาที่อยู่กับตัวเองจะจมดิ่ง รู้สึกเศร้า นำทุกเรื่องที่เก็บไว้มาคิดอยู่คนเดียว ไม่เปิดเผย บอกเล่าให้กับใคร ใครที่เสี่ยงเป็น Smiling Depression คนที่เป็น introvert ไม่แสดงออกทางอารมณ์ ไม่กล้าที่จะระบายเรื่องราวให้ใครฟัง หรือสื่อสารให้ใครเข้าใจ จะเก็บเรื่องแย่ๆไว้กับตัวเองคนเดียว คนที่เป็น perfectionnist คือ อะไรก็ต้องเนี๊ยบ เป็นไปตามมาตราฐานสูงที่ตนเองตั้งไว้ โดยเฉพาะการบอกตัวเองต้องทำให้ดีให้ได้ เมื่อไม่ได้ก็ลงโทษตนเองด้วยความรู้สึกที่แย่ และโทษแต่ตัวเอง คนที่มีความรับผิดชอบสูงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัว ไปจนถึงการงาน หรือสังคม สัญญาณเตือน Smiling Depression นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย รู้สึกกระวนกระวายใจง่ายหรือบ่อย กังวลกับทุกๆเรื่อง ตัดสินใจอะไรลำบาก หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย น้อยใจกับเรื่องเล็กน้อย รู้สึกไร้ค่า รู้สึกสิ้นหวัง อาการของคนที่เป็น Smiling Depression จะเหมือนกับอาการของคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าทั่วไป แต่จะแตกต่างตรงที่คนที่เป็น Smiling Depression จะไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกเหล่านี้ออกมา แต่จะใช้รอยยิ้มกับความร่าเริงออกมากลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในของตนเอง บางคนอาจเป็นคนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ด้วยด้วยซ้ำ แต่จะคอยกดกดความรู้สึกของตัวเองเก็บไว้ด้านใน ทั้งนี้หากไม่แน่ใจหรือมีอาการดังกล่าวข้างต้น 4-5 ข้อ สามารถลองทำแบบทดสอบ Smiling Depression Test เพื่อดูว่าเราเข้าข่ายมีภาวะนี้หรือไม่ Smiling Depression Test English : https://calmerry.com/blog/tests/depression-test/ Smiling Depression Test Thai จากโรงพยาบาลรามาธิบดี : https://www.rama.mahidol.ac.th/th/depression_risk วิธีดูแลตนเองเมื่อตกอยู่ในสภาวะ Smiling Depression หาที่ปรึกษาหรือคนที่เรารู้สึกไว้วางใจ ควรเลือกผู้ที่มีวุฒิภาวะทางความคิดสูง เป็นผู้ฟังที่ดี นั่งฟังโดยไม่แสดงความคิดใดใด จะสามารถช่วยลดอาการ Smiling Depression เบื้องต้นได้ และที่สำคัญยังทำให้รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หากิจกรรมที่ชื่นชอบทำเมื่อรู้สึกว่าง อยู่กับสิ่งที่ทำให้มีความสุข ปรึกษาจิตแพทย์หรือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อคอยให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ตรงจุด และวินิจฉัยที่เหมาะสม อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ป่วย Smiling Depression ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือมีภาวะเครียดสะสม หรือ Mood Swing จากภาวะวัยทอง 💐Bach Flower ศาสตร์แห่งการปรับสมดุลทางจิต ช่วยเสริมสร้าง Mental Health ให้คืนความสมดุล เหมาะสําหรับผู้ที่มีภาวะความเครียดสะสม โรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าแอบแฝง โรควิตกกังวล โรคแพนิค ผู้ที่เผชิญกับเหตุการณ์ที่รุนแรงในอดีตจนเป็นแผลฝังใจ ทั้งยังช่วยลดอาการฉุนเฉียวโมโห อารมณ์ไม่นิ่งได้อีกด้วย หากท่านใดมีความสนใจสามารถเข้ามาปรึกษากับนักบําบัด คุณจันทร์ ชิดจันทร์ นวลแพง Bach Flower Registered Practitioner จากสถาบัน Bach Flower Centre ประเทศอังกฤษ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 10:00-15:00 น. ที่ Thrive Wellness Clinic จองคิวตอนนี้ Line : @thrivewellnessth หรือโทร : 095-934-9640

  • ดูแลสุขภาพต้านโรคมะเร็ง อาหารดี อากาศดี อารมณ์ดี

    โรคมะเร็งถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ซึ่ง WHO ได้รายงานว่าอัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มสูงขึ้นปีละ 139,206 คน และในปี 2566 คนไทมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 140,000 คน และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 80,000 คนต่อปี โดยโรคมะเร็งที่คนไทยเป็นมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งหลายคนมักจะไม่รู้ตัวและจนอาการแสดงออกมาอย่างชัดเจนจึงไปพบแพทย์ วันนี้เรามีวิธีที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งที่มาพร้อมกับการเสริมสุขภาพที่ดีให้กับตัวคุณ ดูแลสุขภาพต้านโรคมะเร็ง อาหารดี เลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทำสดใหม่ สะอาดปราศจากเชื้อรา และเลือกกินผัก เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก มะเขือเทศ ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความจำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง นอกจากนี้ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ บีทรูท ทับทิม ถั่วแดง และชาเขียวมีสาร Epigallocatechingallate (EGCG) ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็ง (แต่จะพบมากที่สุดในชาเขียว) อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลเสียต่อเซลล์ปกติไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง อาหารเป็นปัจจัยหลักที่มีผลมาก 70% เพราะเราต้องรับประทานอาหารทุกวัน วันละ 3 มื้อ ต้องเลือกอาหารที่มะเร็งไม่ชอบกันในทุกๆมื้อนะคะ อากาศดี โดยปกติค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดจะต้องอยู่ที่ 96-99% ถือเป็นภาวะที่เหมาะสมที่สุดของร่างกาย จะช่วยให้สมองทำงานได้ดี สดชื่นกระฉับกระเฉง ผิวพรรณดี ระบบเผาผลาญดี เซลล์ต่างๆซ่อมแซมตัวเองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเครียด บรรเทาอาการปวดหัวได้อีกด้วย แต่หากระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 60% เซลล์มะเร็งอาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะการเจริญเติบโตของมะเร็งและคุณสมบัติหลายอย่างของมะเร็งมีผลมาจากการขาดออกซิเจนในร่างกาย และเมื่อออกซิเจนในเลือดต่ำเซลล์ในร่างกายจะดึงน้ำตาลออกมาใช้แทนออกซิเจน ซึ่งน้ำตาลกลูโคสนี้คืออาหารโปรดของมะเร็งอีกด้วย จึงต้องหมั่นเช็คหรือพาร่างกายไปอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอค่ะ อารมณ์ดี โดยปกติแล้วร่างกายคนเราจะมีสารก่อมะเร็ง และสามารถกำจัดสารพวกนั้นได้ด้วยภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งเมื่อเกิดความเครียด จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และจะลดประสิทธิภาพในการกำจัดสารก่อมะเร็งที่ร่างกายสร้างขึ้น หรือรับเข้ามาได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งได้ จะสะสมมากขึ้นและส่งผลให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาในที่สุด อีกหนึ่งเหตุผลของความเครียดที่ก่อให้เกิดมะเร็ง คือ การหันไปใช้สารบางอย่างเพื่อลดความเครียด เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เมื่อสะสมในร่างกายจำนวนมากจะยิ่งส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ ไม่นานนักก็จะกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสี่ยงโรคมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก ทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง เสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร อาหารประเภทเนื้อสัตว์รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอด เสี่ยงโรคมะเร็งตับ อาหารที่ใส่ดินประสิว หรือสารกันเสีย เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป ไส้กรอก เบคอน แฮม กุนเชียง แหนมเสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืด เพราะอาจปนเปื้อนพยาธิใบไม้หรือสารพิษจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี การรับมลพิษ ฝุ่นควัน สารพิษ สารเคมี เช่น บริเวณที่มีการเผาไหม้จากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ การเผาหญ้า ฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น จะทำให้เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด การถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่มีแสงแดดจัดเป็นเวลานานๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาอุปกรณ์เพื่อช่วยป้องกันร่างกายหรือผิวหนังจากแสงแดด เพราะแสงแดดจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง เพิ่มภูมิคุ้มกัน NK Cell Therapy ​พร้อมต่อสู้ไวรัส และกำจัดเซลล์มะเร็ง ที่ ไธร์ฟ คลินิก NK Cell (Natural Killer Cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายที่มีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็ง โดยมีสัดส่วนเพียง 1% ของเม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรา และเป็นเซลล์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีปฏิกิริยาแอนติเจนและแอนติบอดี ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถแยกแยะและมุ่งสู่เป่าหมายเพื่อกำจัดและทำลายเซลล์มะเร็ง เชื้อโรค รวมถึงไวรัสชนิดต่างๆซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายของเราได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีประสิทธิภาพสูง ปรึกษาคุณหมอเรื่องการดูแลภูมิคุ้มกัน NK Cell Therapy โทร. 095-934-9640 NK Cell คืออะไร NK Cell เม็ดเลือดขาว Iymphocyte ตัวจัดการเซลล์มะเร็งในร่างกาย จุลินทรีย์ส่งผลต่อลำไส้อย่างไรบ้าง?

  • บอกลาโรคร้ายด้วยการนอนหลับที่ดี สุขภาพดีขึ้นแบบไม่ต้องจ่ายเงิน

    การนอนหลับคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย เพราะในช่วงเวลาที่เรานอนหลับร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone ออกมาเพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูส่วนที่เกิดความเสียหายระหว่างวันได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ หากเรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมาหลายๆด้าน เนื่องจากร่างกายไม่ได้หยุดพักเปรียบเสมือนคนที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดนั่นเอง ประโยชน์ของการนอนหลับที่ดี ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ การนอนหลับมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และสุขภาพจิตมากกว่าที่หลายคนคิด โดยการนอนหลับที่ดีจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและอารมณ์ดีขึ้นได้ และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย เพิ่มภูมิคุ้มกัน การนอนหลับจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ร่างกายไม่อ่อนแอ ลดโอกาสการเจ็บป่วยได้ง่าย สังเกตุได้จากหากตัวเองนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เมื่อตื่นขึ้นมาคุณจะรู้สึกมีพลัง กระปรี้กระเปร่า อย่างเห็นได้ชัด ผิวพรรณ์ดูสดใส เปล่งปลั่ง การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวพรรณของเราแลดูสดใสมากขึ้น เพราะว่าในขณะที่เรานอนหลับนั้น ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จะลดลง แต่ฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) จะเพิ่มขึ้น จึงทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดซ่อมแซมตัวเอง ช่วยให้ผิวฟื้นคืนสภาพที่ดีขึ้นอีกครั้ง ช่วยควบคุมน้ำหนัก การนอนไม่พออาจทำให้ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) มีปริมาณลดลง ซึ่งฮอร์โมนนี้มีหน้าที่ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ทั้งยังเป็นการเพิ่มปริมาณฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารให้สูงขึ้นด้วย ส่งผลให้ผู้ที่นอนน้อยรู้สึกหิวบ่อยกว่าปกติ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ถือเป็นฮอร์โมนสำหรับความอ้วน เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)จะทำงานผิดปกติและลุกลามไปถึงการควบคุมน้ำตาลในเลือด จึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนที่พักผ่อนเพียงพอ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โดยปกติขณะที่เรากำลังนอนหลับ อัตราการเต้นของหัวใจและความดันจะต่ำกว่าช่วงที่ตื่นนอน เพื่อเข้าสู่สภาวะการซ่อมแซม แต่ถ้าเราไม่นอน ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ จะถูกกระตุ้นเป็นระยะ ไม่ได้หยุดพัก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ การอักเสบของหลอดเลือด และเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ หากนอนไม่หลับต่อเนื่องกว่า 1 เดือน ทั้งนี้ ในวัยที่เริ่มเข้าสู่ภาวะร่างกายมีความเสื่อม หรือเข้าสู่วัยทอง การนอนไม่หลับยังบ่งบอกถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมนอีกด้วย เพราะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ผลิตออกมาจากรังไข่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สบายมากขึ้น แต่หากฮอร์โมนสองตัวนี้ลดลงผิดปกติจะส่งผลให้นอนไม่หลับ รู้สึกร้อนวูบวาบ หรือมีเหงื่อออกตอนกลางคืน จนไปรบกวนการนอนของคุณได้เช่นกัน เมื่อมีปัญหาการนอนไม่หลับที่อาจมีผลมาจากฮอร์โมนไม่สมดุล ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวัดระดับฮอร์โมนในร่างกาย หากมีความผิดปกติแพทย์จะวิเคราะห์และแนะนำวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อการส่งเสริมให้ฮอร์โมนกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด 🩺Total Hormone Package ตรวจ 17 รายการ ราคา 17,190 บาท Package ตรวจระดับสมดุลฮอร์โมน Magnesium แร่ธาตุตัวสำคัญ ช่วยให้คุณนอนหลับง่ายขึ้น Melatonin ช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น พักผ่อนน้อย ตัวเร่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันตกต่ำลง

  • 5 สัญญาณผิวเตือนภูมิคุ้มกันพัง

    5 สัญญาณผิวเตือนภูมิคุ้มกันพัง ผิวลอก ผิวแห้ง ผื่นภูมิแพ้ สิวอักเสบ เซ็บเดิร์ม และโรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน ผิวหนัง เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีหน้าที่สำคัญ ห่อหุ้มร่างกาย ป้องกันเชื้อโรค ป้องกัน UV ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมการสูญเสียน้ำ และยังสังเคราะห์สารเมลานิน วิตามินดี และเคอราติน เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่จะสะท้อนอาการเมื่อภูมิคุ้มกันในร่างกายเราเปลี่ยนแปลงไป เปรียบเสมือนเกาะป้องกันเชื้อไวรัสเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้ามาทำลายระบบต่างๆในร่างกายเรา โดยระบบภูมิคุ้มกันจะคอยสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ดังนั้นหากภูมิคุ้มกันต่ำลงร่างกายจะแสดงอาการที่ผิวหนังให้เห็นได้อย่างชัดเจน 5 สัญญาณผิวเตือนภูมิคุ้มกันกำลังพัง ผิวลอก ผิวแห้ง เกิดจากโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยภูมิคุ้มกันสามารถทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของตัวเอง จนเกิดการอักเสบ และทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะได้ทั่งร่างกาย สาเหตุอื่นๆที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น ผิวขาดความชุ่มชื้น ชั้นผิวอ่อนแอ ผิวขาดวิตามิน ร่างกายจะผลิตไขมันในผิวลดลง ผิวสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ ผิวไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ หากผิวลอกและแห้งขั้นรุนแรงมักมีอาการคันตามผิวหนัง มีอาการบวมแดงตามร่างกาย เกิดแผลพุงพองแบบเฉียบพลัน ต้องรีบพบแพทย์โดยทันที ผื่นภูมิแพ้ มักเริ่มต้นมาจากร่างกายของตนเองมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันมาก่อน ส่งผลให้เมื่อผิวหนังพบเจอกับสิ่งแวดล้อมภายนอกแล้วเกิดอาการแพ้จนมีผื่นแดง ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งปัจจัยภายนอกที่สร้างปัญหาของโรคนี้ได้บ่อย เช่น การอยู่ในพื้นที่ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น ขนสัตว์ ที่สัมผัสกับผิวโดยตรง หรือสภาพอากาศที่แห้งในฤดูหนาวมักทำให้ผิวแห้งซึ่งเป็นอีกสาเหตุของการเกิดผดผื่นภูมิแพ้นั่นเอง และมักเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เวลาที่ไปสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ หากภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ก็จะยิ่งแพ้หนักยิ่งขึ้น สิวอักเสบ เป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่อเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ หรือเนื้อเยื่อในบริเวณนั่นๆเกิดการติดเชื้อ จนเกิดเป็นสิวอักเสบได้ อีกทั้งอาจเกิดจากลำไส้ เพราะเมื่อลำไส้ย่อยโปรตีนไม่หมด จะทำให้หลุดลอดเข้าไปในกระแสเลือดผ่านผนังลำไส้ที่กำลังอักเสบได้ เมื่อผนังลำไส้อ่อนแอจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู้กระแสเลือด ซึ่งมักแสดงอาการอักเสบออกมาที่ผิวหนังหรือที่เรียกว่า “สิว” นั่นเอง เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับการอักเสบเรื้อรัง เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง ทำให้โรคเข้าไปกระตุ้นจนเกิดการอักเสบและสูญเสียสมดุลบริเวณผิวหนัง มักเกิดขึ้นบริเวณที่มีต่อมไขมัน เช่น บริเวณหนังศีรษะ ไรผม ใบหู หัวคิ้ว ข้างจมูก ร่องแก้ม รอบริมฝีปาก หน้าอก รักแร้ หรือขาหนีบ เป็นต้น โดยมักมีอาการแดง แสบ ลอก และอาจมีอาการคันร่วมด้วยในบริเวณที่เป็น เช่น หากเป็นบริเวณหนังศีรษะก็จะมีอาการคล้ายเป็นรังแค แต่หากมีการอักเสบเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดผมร่วงตามมาได้เช่นกัน โรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน เป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นตุ่มพองน้ำ เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้ไม่บ่อยมาก สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่มาทำลายโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังหลุดออกจากกันกลายเป็นตุ่มน้ำและแผลถลอกรวมถึง พันธุกรรม การติดเชื้อ การแพ้ยาแพ้สารเคมี หรืออาจเรียกอีกแบบว่า “ภูมิเพี้ยน" คือภูมิต้านทานที่มีหน้าที่คอยต่อสู้กับเชื้อโรคกลุ่มด้วยกัน ได้แก่ โรคเพมฟิกัส และโรคเพมฟิกอยด์ ดังนั้นเราควรหันมาดูแลหรือเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินที่เข้าไปช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดย ไธร์ฟ คลินิก ได้คิดค้นสูตรดริปวิตามินที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยตรงแบบเร่งด่วนอย่าง IV Drip Vitamin มีให้เลือกมากกว่า 20 สูตร ที่เหมาะกับปัญหาผิวแต่ละแบบ เพราะสาเหตุของผิวพังที่ต่างกัน ถือเป็นตัวช่วยที่ดีอีกหนึ่งตัวที่ช่วยดูแลสุขภาพสำหรับคนที่ป่วยง่ายเสริมให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้น Vitamin IV Drip ป่วยบ่อย ควรเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวิตามินตัวไหนดี? ลำไส้ที่ดีส่งผลกับระบบภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า 7 วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

  • อายุมากขึ้นไม่ได้แปลว่าแก่ ถ้าคุณมี ACTIVE LIFESTYLE

    เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะค่อยๆมีความเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสภาพลงในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพร่างกาย สุขภาพสมอง อารมณ์ และสังคม สำหรับบางคนเริ่มมีความกังวลเรื่องโรคประจำตัว บางคนไม่อยากขยับตัวทำอะไรเพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ แต่จริงๆแล้วเมื่ออายุมากขึ้นยิ่งควรขยับหรือเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเกิดความยืดหยุ่นและห่างไกลโรคภัย การทำกิจกรรม Active Lifestyle เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันและชะลอความเสื่อมของสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย ACTIVE LIFESTYLE คืออะไร Active Lifestyle คือการทำกิจกรรมหรือการขยับร่างกายระหว่างวันอย่างกระฉับกระเฉง และการออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันผู้สูงอายุ เป็นวัยที่มีช่วงเวลาอิสระ และหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ประกอบกับทางการแพทย์ที่ทันสมัย จึงทำให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรงอีกทั้งยังช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย โดยเฉพาะภาวะสมองเสื่อม ACTIVE LIFESTYLE ดีกว่าที่คิด Free Adrenaline เมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว ร่างกายจะหลั่ง อะดรีนาลีน(Adrenaline) ช่วยให้คุณมีความสุข อารมณ์ดี ไม่เครียด รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งการเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้เลือดมีการสูบฉีดส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเลือดไหลเวียนได้ดีจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคความดันโลหิตได้ Free Vitamin D เมื่อได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งในยามเช้า เช่น เดิน ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ เป็นต้น สิ่งที่จะได้รับเลยทันทีคือ วิตามินดี (Vitamin D) จากธรรมชาติ ซึ่งประโยชน์ของวิตามินดีมีเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นคอยควบคุมความสมดุลของแร่ธาตุ (Minerals), แคลเซียม (Calcium) และฟอสเฟต (Phosphate) ที่มีผลต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างดียิ่งขึ้น Free Flexibility การออกกำลังกายเบาๆแบบยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อตามร่างกายเกิดความยืดหยุ่น และยังช่วยให้สมองปลอดโปร่งรู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น การออกกำลังเบาๆ เช่น เดินเล่นในหมู่บ้าน เล่นโยคะ ไท้เก๊ก เป็นต้น เมื่อร่างกายเกิดความยืดหยุ่นจะช่วยลดโอกาสการหกล้ม หรือการเกิดอุบัติเหตุทางร่างกายสำหรับผู้สูงวัยได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าการมีสุขภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักแบบหักโหม แค่หากิจกรรมที่ตนสนใจทำก็ช่วยให้คุณมี Active Lifestyle ที่ดี แล้วยังช่วยให้คุณรู้สึกสนุก กระตุ้นความกระฉับกระเฉง ซึ่งการหากิจกรรมทำนั่นถือเป็นพื้นฐานของสุขภาพที่ดีสำหรับผู้สูงวัย ส่งเสริมสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ และเพิ่มความแข็งแรง การทรงตัวที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างได้อีกด้วย ตรวจฮอร์โมน ตรวจ Oligoscan Stemcell

  • สรุป สัมมนา Bach Flower Remedies ที่ Thrive Wellness Clinic

    วันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อเรื่อง Bach Flower Remedies ที่ Thrive Wellness Clinic จัดบรรยายโดย พญ. อุรวดี จันทร์แจ่มแสง (หมอเอม)​ และนักบำบัด คุณจันทร์ ชิดจันทร์ นวลแพง Bach Flower Registered Practitioner จากสถาบัน Bach Flower Centre ประเทศอังกฤษ มีผู้สนใจและต้องการเข้าร่วมงานจำนวนมาก จึงทำให้งานสัมมนามีความคึกคักและมีความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัวได้มานั่งคุยกัน โดยคุณจันทร์ ได้กล่าวว่า Bach Flower เป็นสารน้ำที่จะคอยควบคุมการปรับเปลี่ยนของอารมณ์ และจัดอยู่ในหมวด Energy Medecine เป็นยาพลังงาน โดยดึงคุณสมบัติของดอกไม้แต่ละชนิดเป็นยารักษาอารมณ์ให้กลับมาสมดุลโดยที่ไม่มีสารเคมี และสามารถทำงานได้ในระดับลึก เพราะอารมณ์คนเราจะสอดคล้องกับร่างกาย เมื่อเราป่วยมักเกิดจากร่างกายกับอารมณ์ไม่สมดุล อารมณ์ของคนเราเปรียบเสมือนหัวหอม โดย Bach Flower จะช่วยปรับสมดุลตั้งแต่ชั้นนอกและค่อยคืนสมดุลทางอารมณ์จนถึงชั้นในสุด อย่างปลอดภัย ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่ไม่ต้องการใช้ยา “อาการแบบเดียวกันแต่บุคคลิกนิสัยที่ไม่เหมือนกัน อาจได้รับการบำบัดด้วยดอกไม้ที่ต่างชนิดกัน” นักบำบัดมีหน้าที่รับฟัง และวิเคราะห์อารมณ์ และเลือกใช้ดอกไม้ให้มีความเหมาะสม จึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักบำบัด และคนไข้ โดยอาจะใช้ระยะเวลา 3 -6 เดือนโดยเฉลี่ย เพื่อการช่วยปรับอารมณ์ด้านจิตใจ ตัวอย่างเคสที่คุณจันทร์เคยรักษา มีคนไข้ท่านนึงมีความวิตกกังวล หวาดกระแวง มีความเครียดสูง พอได้เข้ามาพบคุณจันทร์และได้ซักถามไปยังเบื้องลึกของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนไข้ จึงได้ทราบว่า ก่อนน่านี้คนไข้ท่านนี้จะใช้ยาเสพติดทุกครั้งที่อยู่กับแฟน จนทำให้เขากลายเป็นคนที่มีศักยภาพในการทำงานและการใช้ชีวิตลดลง จนเกิดเป็นความเครียด ความวิตกกังวล ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ต้องใช้ยารักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน คุณจันทร์จึงรับเขาเข้ามาบำบัดด้วย Bach Flower จนปัจจุบันเขาดีขึ้นและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรือแม้แต่คนที่ป่วยเป็นโรค SLE ก็สามารถใช้ Bach Flower ได้ อีกทั้งยังช่วยเด็กที่สมาธิสั้น เด็กเป็นออทิสติกให้กลับมานิ่งขึ้นได้อีกด้วย คุณหมอเอม เสริมเรื่องสภาวะจิตใจกับโรคเรื้อรัง หรือปัญหาสุขภาพ นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายแล้ว โรคเรื้อรังบางอย่างเป็นผลมาจากความไม่สมดุลด้านจิตใจ Bach Flower จะทำหน้าที่เป็นพลังงานบวกและเข้าไปแทนที่พลังงานลบในร่างกาย ช่วยให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นและรับมือกับปัญหาได้อย่างมีสิทธิภาพ เหมาะอย่างยิ่งหากดูแลสุขภาพควบคู่ เช่น การตรวจสุขภาพเชิงลึก การตรวจฮอรโมน ผู้ที่เข้าสู่ภาวะวัยทอง ยิ่งส่งเสริมการรักษาหรือดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ ผู้ที่รับยาซึมเศร้า ที่เป็นยากดประสาท สามารถดูแลควบคู่ไปได้ เพื่อลดการใช้ยา ผู้ที่มีปัญหาเครียดสะสม เป็นไมเกรน หรือนอนไม่หลับ ผู้ที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกัน แบบหาสาเหตุไม่พบ เช่น ภูมิแพ้ ผื่น ผื่นคัน Bach Flower Remedies สามารถใช้ได้สำหรับเด็ก ผู้สูงวัย คุณแม่ตั้งครรภ์ คนที่เป็นภูมิแพ้ แพ้ดอกไม้ ผื่นแพ้ที่เกิดจากความเครียด ภาวะนอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก มีความวิตกกังวล อารมณ์แปรปรวนจากวัยทอง ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า แพนิค หรืออยู่ในกลุ่มสงสัย ผู้ที่ต้องการมีสุขภาวะทางอารมณ์ที่สมดุล หากท่านใดมีความสนใจสามารถเข้ามาปรึกษากับนักบําบัด คุณจันทร์ ชิดจันทร์ นวลแพง Bach Flower Registered Practitioner จากสถาบัน Bach Flower Centre ประเทศอังกฤษ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 10:00-15:00 น. ที่ Thrive Wellness Clinic จองคิวตอนนี้ Line : @thrivewellnessth หรือโทร : 095-934-9640

  • สารพิษตัวร้ายจากภาชนะใกล้ตัว!!

    ในปัจจุบันคนเรานิยมที่จะสั่งอาหารแบบ Delivery กันมาก และยังอาหารกล่องที่ซื้อทานหิ้วกลับบ้านกันอีก คุณอาจไม่ทันระวังว่าในภาชนะที่ใช้ใส่อาหารนั่นล้วนมีสารพิษอันรายแฝงอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาชนะโฟม ภาชนะพลาสติก ภาชนะอลูมิเนียม มีสารพิษโลหะหนักตกค้างอยู่ เมื่อความร้อนจากอาหารไปสัมผัสเสี่ยงปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย ปริมาณมากๆเข้าก่อให้เกิดโรคร้ายอย่างมะเร็งได้อีกด้วย ภาชนะใกล้ตัวที่มีสารพิษ สารโลหะหนัก เจือปน ภาชนะพลาสติก ไม่ว่าจะกล่องข้าว จาน ถ้วย พลาสติก โดยเฉพาะที่มีสีต่างๆ สีผสมที่มีสารของโลหะหนัก ได้จากการใช้สารเมลามีนที่ผลิตได้จากยูเรีย-ฟอร์มัลดีไฮด์ เมื่อสารเหล่านี้ถูกนำมาใช้ผลิตภาชนะ จึงทำให้มีโอกาสเกิดสารพิษตกค้างเจือปนอยู่ในอาหารได้สูง ภาชนะพลาสติกไม่สามารถทนความร้อนได้ เมื่อพลาสติกละลายก็ทำให้เกิดสารเคมีสะสม อย่าง สารไฮโดรคาร์บอน และ สาร BPA ไว้ในร่างกาย นอกจากนี้การใช้พลาสติกที่มีสีสันสวยงาม แต่ไม่ได้ใช้วัสดุและกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพนั้นทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มต่อการบริโภคสารเคมีจากสีที่ใช้เคลือบเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ภาชนะถ้วยโฟม ถ้วยโฟมเมื่อโดนความร้อนจะเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้สารอันตรายแตกตัวออกมาปนเปื้อนกับอาหาร อย่าง สารเบนซีน (Benzene) ที่หากดื่มหรือกินอาหารที่มีสารเบนซีนปนเปื้อนสูง จะทำให้เกิดอาการ ปวดท้อง (เนื่องจากกระเพาะถูกกัดกร่อน) เวียนหัว คลื่นไส้ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และ สารสไตรีน (Styrene) ที่มีพิษทำลายไขกระดูก ตับ และไต ทำให้ความจำเสื่อม มีผลต่อการเต้นของหัวใจ และเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดี อีกทั้งยังทำลายฮอร์โมนและระบบประสาทต่างๆในร่างกายอีกด้วย ภาชนะกระดาษ มักพบสารพิษ พีฟาส (PFAS) มากที่สุดก็ในบรรจุภัณฑ์กระดาษที่มีการเคลือบกระดาษเพื่อป้องกันความมัน และป้องกันน้ำในการบรรจุอาหารฟาสต์ฟู้ด รวมทั้งแก้วกระดาษที่ใช้ใส่เครื่องดื่ม หรือ กระทะเคลือบสารกันติด นอกจากนี้ยังมีร้านสะดวกซื้อ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ก็นิยมใช้กระดาษห่ออาหาร รวมถึงแก้วกระดาษที่มีส่วนผสมของสารป้องกันความมัน และการเปียกน้ำ มาใช้ในร้านค้าของตนเองกันอย่างแพร่หลาย ภาชนะอลูมิเนียม เช่น กระทะ จาน ชาม ช้อนส้อม เตาปิ้งย่างหมูกระทะ มักเกิดการหลุดของสารตะกั่ว สังกะสี ปรอท โครเมี่ยม สารหนู หรืออะลูมิเนียม จากความร้อนและการทำความสะอาดที่รุนแรง เช่นการขัดถูด้วยฟรอยด์ เมื่อเราใช้ภาชนะที่ใช้งานมานาน จนอาจเห็นบางส่วนเปลี่ยนสภาพ เช่น ผิวเคลือบหลุด หรือก้นหม้อเป็นสีดำ สารพิษพวกนี้จะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ มีผลต่อระบบประสาทและเสี่ยงก่อให้เกิดโรคมะเร็ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องใช้ ภาชนะที่เสี่ยงโลหะหนัก ลองเลือกใช้ภาชนะที่มีกระบวนการผลิตมาอย่างถูกต้องหรือมีมาตรฐานการผลิตรองรับ ไม่ใช่ซ้ำหากพบว่ามีการสึกกร่อน หลีกเลี่ยงใส่อาหารร้อนจัด หรือเลือกใช้ภาชนะที่ทำจากแก้ว ก็จะช่วยลดภาวะเสี่ยงของโรคต่างๆได้อีกทางหนึ่ง หรือใครสนใจอยากตรวจหาสารพิษในร่างกาย ไธรฟ์ คลินิก มีโปรแกรมช่วยตรวจสารพิษโลหะหนักอย่าง Oligoscan เพื่อตรวจเช็กจำนวนโลหะหนักในร่างกายได้มากถึง 14 ชนิด เช่น ดีบุก สังกะสี ทองแดง ตะกั่ว สารหนู ปรอท เป็นต้น และยังตรวจวัดระดับวิตามินในร่างกายได้ถึง 20 รายการ การตรวจนี้ยังช่วยให้สามารถวางแผนการมีสุขภาพที่ดีของคุณได้ด้วย เพราะสามารถตรวจวัดหาแร่ธาตุในร่างกายของคุณได้อย่างครบถ้วน เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ขาดสารอาหารแต่เจาะลึกให้แน่นอนว่าควรเพิ่มและลดสารอาหารประเภทไหนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตรวจสารพิษโลหะหนักด้วย Oligoscan คีเลชั่นบำบัด Chelation Therapy

  • Chelation ตัวช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตัน ที่ติดตามคุณมากับความอ้วน เหล้า และบุหรี่

    โดยปกติหลอดเลือดของเราจะมีหน้าที่สำคัญมาก เพราะต้องคอยลำเลียงเลือด และออกซิเจน ไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกาย หากเกิดภาวะผิดปกติของหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือด จะเกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว เริ่มตั้งแต่อาการปวดตามจุดต่างๆและร้ายแรงไปจนถึงอาจเสียชีวิตได้ โดยวันนี้เราจะมาแนะนำตัวช่วยดีๆที่จะช่วยลดภาวะหลอดเลือดอุดตันได้อย่าง Chelation จะเป็นอย่างไรหากหลอดเลือดอุดตัน ? โรคหลอดเลือดอุดตัน (PAD) เป็นสัญญาณของภาวะหลอดเลือดแข็งตัว การสะสมของไขมัน หรือการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือด ซึ่งเข้ามากีดขวางการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดดำที่ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ จนทำให้เกิดเลือดคั่ง จับตัว และเกิดเป็นลิ่มเลือด โดยสามารถเกิดได้ทั้งกับหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ และอาจรุนแรงกว่าเดิมหากเกิดขึ้นกับอวัยวะที่มีความสำคัญ เช่น หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดส่วนปลายของแขนขา และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน จนนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้อีกด้วยหากลิ่มเลือดที่อุดตัน หลุดไปอุดกั้นที่ปอด มีความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต อาการโรคหลอดเลือดอุดตันในบริเวณต่างๆ บริเวณขา รู้สึกปวดขา ขาจะบวม แข็งบริเวณน่อง เมื่อกดจะรู้สึกปวดทันที สีผิวที่ขาเป็นสีซีดหรือแดง มีอาการบวมร้อนที่ขาบริเวณท้อง มีอาการปวดท้อง สมอง มีอาการปวดศีรษะ ชาครึ่งซีก พูดไม่ชัด หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว อาเจียนหรือชัก ปอด มีอาการเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด หมดสติ และอาจเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ ผู้ที่เสี่ยงโรคหลอดเลือดอุดตัน ผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติโรคหลอดเลือดอุดตัน อายุที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ ผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดมาก่อน การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน ยาคุมกำเนิด เป็นต้น การนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน ลดภาวะหลอดเลือดอุดตันด้วย Chelation หากคุณอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงโรคหลอดเลือดอุดตัน เช่น มีภาวะอ้วนเรื้อรัง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวานหรือ ใช้ชีวิตหนักหน่วงทั้งสูบบุหรี่ และดื่มแอลกออฮอล์ ปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นสาเหตุให้หลอดเลือดอุดตัน เริ่มต้นดูแลการไหลเวียนโลหิต ขจัดล้างสารพิษที่สะสมในหลอดเลือด เพื่อให้การไหลเวียนเลือดไม่ติดขัด ล้างหลอดเลือดทั่วร่างกาย Chelation จะทำหน้าที่เข้าไปล้างสารพิษในหลอดเลือด และดึงส่วนที่สะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ หรือเกาะพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผนังเซลล์และผนังหลอดเลือด ช่วยรักษาอาการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยในเรื่องของหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจแข็ง หลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด ให้มีความยืดหยุ่นและขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระ และการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด รวมไปถึงลดอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด IV Drip Chelation Therapy ราคา 3,800 บาท/ครั้ง ปรึกษาคุณหมอเรื่องการดูแลรักษาหลอดเลือดของคุณ โทร. 095-934-9640 คีเลชั่นบำบัด Chelation Therapy Chelation กำจัดล้างสารพิษในหลอดเลือด

bottom of page