top of page

Thrive Wellness Clinic

  • Facebook
  • YouTube
  • Instagram

ชั้น2 เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา 
Opening Hours เวลาเปิดทำการ 10:00 -19:30 

thrive-clinic.png

Search Results

พบ 198 รายการสำหรับ ""

  • เบาความหวาน ลดความเสี่ยงเบาหวาน

    นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1.5 แสนคนต่อปี เท่ากับในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานถึง 3.3 คนต่อปี ซึ่งโรคเบาหวานไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้สูงวัยเท่านั้น แต่กลับมีผู้ป่วยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน เรียกง่ายๆว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานในปัจจุบันถูกพบได้ทุกเพศทุกวัย และหลายๆคนอาจจะไม่รู้ตัว “วันเบาหวานโลก (World Diabetes Day)” เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 โดยความร่วมมือจากสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ (IDF), องค์การอนามัยโลก (WHO) และสหประชาชาติ (UN) โดยกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก เพราะเป็นวันเกิดของ เฟรเดอริก แบนติง (Frederick Banting) ผู้ค้นพบอินซูลิน ยาฉีดลดน้ำตาลในเลือดที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานในปัจจุบัน โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือ โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท เบาหวานประเภทที่ 1 พบได้น้อย ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยเบาหวานไทย ประเภทนี้เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ จึงต้องฉีดอินซูลินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดอินซูลิน และไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนเกิดไป เพราะอาจหมดสติ และเสียชีวิตได้อย่างเฉียบพลัน มักพบในเด็กและวัยรุ่น เบาหวานประเภทที่ 2 พบได้มาก ประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานไทย และส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่มคนอายุ 45 ปีขึ้นไป เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินไปใช้ได้อย่างเพียงพอ และร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ประเภทนี้มักไม่อาการอย่างเฉียบพลัน แต่หากขาดการควบคุม ก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่เป็นอันตรายอย่างเฉียบพลันได้ เบาหวานประเภทที่ 3 เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ (เบาหวานวินิจฉัยระหว่างไตรมาสที่ 2 หรือ 3 ของการตั้งครรภ์ โดยที่ไม่ได้เป็นเบาหวานก่อนหน้า) เบาหวานประเภทที่ 4 เป็นเบาหวานชนิดที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ความผิดปกติของสารพันธุกรรม monogenic diabetes syndromeหรือ Maturity onset diabetes of the young [MODY], จากยา , โรคของทางตับอ่อน เช่น cystic fibrosis ขอบคุณข้อมูลจาก Bangkok Hospital สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวาน พันธุกรรม น้ำหนักเกิน ความอ้วน ไม่ค่อยเคลื่อนไหว และไม่ออกกำลังกาย อายุที่มากขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานได้มากขึ้น โรคของตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบ ได้รับการผ่าตัดตับอ่อน ความเครียดเรื้อรัง การตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการสร้างฮอร์โมนจากรกหลายชนิด ซึ่งมีผลในการยับยั้งการทำงานของอินซูลิน ใครบ้างที่เสี่ยงโรคเบาหวาน อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน เป็นผู้มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน ความดันโลหิตสูง ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ผู้หญิงที่เป็นภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ, หลอดเลือดสมอง ดังนั้นหากใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน จำเป็นต้องคอยตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อคอยควบคุมไม่ให้มีระดับที่สูงจนเกินไป ที่ ไธรฟ์ คลินิก ของเรามีบริการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือตรวจเบาหวาน ผ่านการเจาะเลือด นัดหมายเพื่อ Consult ปัญหาสุขภาพ กับคุณหมอ Anti-Aging ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ก่อนที่โรคเบาหวานจะมารบกวนคุณ

  • นอนกรน!! สัญญาณเตือนไขมันพอกตับ

    เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเคยพบเจอประสบการณ์ที่คนรักหรือรูมเมท นอนกรน เสียงจนทำให้คุณนอนไม่หลับ บางครั้งอาจดูเหมือนเป็นการนอนกรนปกติ แต่แท้จริงแล้วการนอนกรนไม่ถือเป็นเรื่องปกติ และอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคไขมันพอกตับอยู่ก็เป็นได้ นอนกรน คืออะไร นอนกรน คือ ภาวะผิดปกติของทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อเพดานอ่อน ลำคอ และโคนลิ้น ตีบและแคบลง ทำให้ทรวงอกต้องออกแรงหายใจเข้ามากขึ้นเพื่อสูดอากาศผ่านช่องคอที่ตีบและแคบจนเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น นอนกรนสัญญาณเตือนไขมันเกาะตับ! เพราะทางเดินหายใจส่วนบนเกิดภาวะการอุดกั้น ซึ่งการอุดกั้นของทางเดินหายใจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายผิดปกติ จนเกิดเป็นภาวะไขมันเกาะตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD – Nonalcoholic Fatty Liver) เพราะเซลล์ตับมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย ทั้งการย่อยไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนที่ร่างกายได้รับจากอาหารที่เราทาน หากระบบเผาผลาญในร่างกายผิดปกติ จะส่งผลต่อตับทำให้มีการสะสมไขมันไว้ในตับจำนวนมากเกินไป จนลุกลามกลายเป็นปัญหาตับอักเสบรุนแรงหรือตับแข็งได้ในที่สุด สำหรับคนที่นอนกรนเป็นประจำทุกวันอย่าชะล่าใจควรตรวจสุขภาพตับ หรือตรวจหาสาเหตุของการนอนกรนเพื่อการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพราะการนอนกรนคือสัญญาณเตือนของสุขภาพ หากใครสนใจตรวจดูสุขภาพของตับทาง ไธรฟ์ คลินิก พร้อมให้บริการตรวจการทำงานของตับ วิเคราะห์ระดับการอักเสบ รวมไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดที่สำคัญ ผ่านโปรแกรมตรวจไขมันพอกตับ Fatty Liver เมื่อรู้ทันเราป้องกันได้ ไขมันพอกตับ โรคที่ไม่ทันรู้ตัว IV Drip Liver Detox Vitamin IV Drip

  • อย่าชะล่าใจ! ใครที่ควรตรวจเช็กฮอร์โมน

    ฮอร์โมนมีความสำคัญต่อร่างกายเราอย่างยิ่ง เพราะฮอร์โมนมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต การนอนหลับ การตกไข่ ประจำเดือน อารมณ์ ผิวพรรณ หรือแม้แต่ช่วงวัยทอง เมื่อฮอร์โมนเปลี่ยนไปจะส่งผลโดยตรงกับสุขภาพ ระบบเผาผลาญ เกิดริ้วรอย ดูแก่กว่าวัย อารมณ์แปรปรวน ฯลฯ ดังนั้นเราควรสังเกตุอาการตนเองหากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น นั่นอาจจะหมายถึงฮอร์โมนของคุณกำลังไม่สมดุล ฮอร์โมน คืออะไร? ฮอร์โมน เป็นสารเคมีที่สำคัญที่สุดในร่างกาย และมีหลายชนิดกว่าที่คุณคิด เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของคุณถูกส่งผลต่อเนื่องมาจากฮอร์โมนทั้งสิ้น ฮอร์โมนเกิดมาจากต่อมไร้ท่อต่างๆ และในแต่ละต่อมไร้ท่อนี้ก็จะมีฮอร์โมนแต่ละชนิดที่แตกต่างกันไปด้วย เท่ากับว่าเราไม่สามารถขาดฮอร์โมนชนิดไหนไปได้เลย ฮอร์โมนยังเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่เป็นทั้งตัวกลางคอยสื่อสารและควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นระบบ ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ช่วยให้ผิวหน้าไร้สิว ช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อของคุณสร้างได้อย่างแข็งแรง หรือแม้แต่ช่วยในเรื่องของการนอนหลับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สัญญาณเตือน!! ที่บอกว่าคุณควรตรวจฮอร์โมน ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยปกติประจำเดือนจะมาทุก 21-35 วัน แต่หากประจำเดือนมาไม่ตรงกันในแต่ละเดือน หรือข้ามเดือน อาจเป็นผลมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) หรือโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ผิดปกติ แต่หากคุณอายุ 40-50 ปี อาการที่เกิดขึ้นอาจบ่งบอกว่า คุณกำลังเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน นอนไม่หลับ ตามปกติฮอร์โมนเมลาโทนินจะมีส่วนช่วยในการนอนหลับทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น หากระดับของเมลาโทนินต่ำเกินไป อาจเกิดอาการร้อนวูบวาบและมีเหงื่อออกตอนกลางคืน ซึ่งทำให้นอนหลับยากขึ้น ซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวน ฮอร์โมนเอสโตรเจน นับว่าเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ส่งผลต่อสารเคมีในสมองอย่างเซโรโทนิน (Serotonin), โดพามีน (Dopamine) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เมื่อฮอร์โมนลดลง หรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด เครียด วิตกกังวลได้ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ลดน้ำหนักไม่ลง เนื่องจากฮอร์โมนไทรอยด์ หรือต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่ควบคุมระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย, อุณหภูมิของร่างกาย, ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ, ระดับไขมันในเลือด ดังนั้นหากระดับฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติได้ เป็นสิวเรื้อรัง รักษาไม่หาย ตามปกติผิวหนังของคนเราจะมีความชุ่มชื้น เนื่องจากต่อมใต้ผิวหนังผลิตซีบัม (Sebum) ซึ่งเป็นของเหลวที่มีน้ำมันส่งผ่านท่อเล็กๆ ขึ้นมาหล่อเลี้ยง สิวจะเกิดขึ้นเมื่อท่อเล็กๆ เหล่านี้อุดตัน โดยฮอร์โมนที่ผิดปกติจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันให้มีการผลิตไขมันมากขึ้น ดังนั้นโอกาสที่ท่อส่งไขมันจะอุดตันจนเกิดสิวก็มีเพิ่มขึ้นเช่นกัน ผิวพรรณแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยก่อนวัย ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผิวพรรณและริ้วรอยโดยตรง หากฮอร์โมนชนิดนี้ลดลงจะทำให้ผิวขาดน้ำแห้งกร้าน ไม่เปล่งปลั่ง และมีริ้วรอยก่อนวัย อ้วนลงพุง การที่ร่างกายมีไขมันสะสมบริเวณช่องท้องมากขึ้น ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ เนื่องจากฮอร์โมนขาดความสมดุล และเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) สำหรับการตรวจเช็กระดับฮอร์โมน ไธรฟ์ คลินิก ขอแนะนำให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ฮอร์โมนไม่สมดุล หรือมีความเปลี่ยนแปลงทางภาวะด้านอารมณ์และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น นอนไม่หลับ อ้วนง่าย ผิวแห้ง หงุดหงิด ซึมเศร้า เป็นต้น ตรวจฮอร์โมนเป็นประจำทุกปี Thrive Hormone Check up ที่จะช่วยให้คุณเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างดี

  • Chelation Therapy ตัวช่วยดีๆที่กำจัดล้างสารพิษในหลอดเลือด

    ในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สืบเนื่องจากการพัฒนาของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีโลกที่เป็นตัวเพิ่มปริมาณสารพิษ และสารปนเปื้อน ทั้งในน้ำ อากาศ ดิน เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการต่างๆ ซึ่งทำให้รบกวนการทำงานของร่างกายได้หลายระบบ เช่น ฮอร์โมน การอักเสบของร่างกาย ระบบการเผาผลาญ ระบบประสาท ล้วนส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังทางภูมิต้านทาน โรคความเสื่อมของร่างกายต่างๆ และโรคมะเร็งนั่นเอง Chelation ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง กำจัดสารพิษโลหะหนัก หากเกิดการสะสมของโลหะหนักในร่างกายจำนวนมากจะส่งผลเสียต่ออวัยวะต่างได้ เช่น หัวใจ หลอดเลือด สมอง ตับ ไต และต่อมไร้ท่อ เป็นต้น และทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งใน Chelation มีสารประกอบทางเคมีที่ให้เป็นประเภทกรดอะมิโนที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่หลักในการเข้าไปจับสารโลหะหนักในกระแสเลือด เช่น อลูมิเนียม ตะกั่ว แคดเมียม สังกะสี เซเลเนียม ทองแดง สารหนู โครเมียม หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกิน แล้วขจัดสารโลหะหนักเหล่านี้ออกผ่านระบบปัสสาวะ ล้างสารพิษในหลอดเลือด Chelation จะทำหน้าที่เข้าไปล้างสารพิษในหลอดเลือด และดึงส่วนที่สะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ หรือเกาะพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผนังเซลล์และผนังหลอดเลือด ช่วยรักษาอาการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยในเรื่องของหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจแข็ง หลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด ให้มีความยืดหยุ่นและขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระ และการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด รวมไปถึงลดอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดทำให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอย่าง โรคไขมันในเส้นเลือด, โรคไขมันพอกตับ, หลอดเลือดอุดตัน, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เส้นเลือดหัวใจตีบ, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคเบาหวาน ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพในระบบเผาผลาญ เมื่อในร่างกายเรามีสารพิษโลหะหนักสะสมอยู่ หรือสารจากของเสียต่างๆ เช่น ตะกั่ว อลูมิเนียม สารหนู เป็นต้น จะส่งผลไปถึงระบบเผาผลาญที่แย่ลง เพราะโลหะหนักที่ปนเปื้อนในร่างกายเรา ทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย การสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น รบกวนกระบวนการของฮอร์โมน (Endocrine Disruptors) ทำให้เกิดการสะสมไขมันที่เพิ่มขึ้น ไขมันที่เกาะในอวัยวะต่างๆอีกด้วย Chelation จะช่วยกำจัดสารพิษและสารจากของเสียเหล่านี้ ทำให้สารอนุมูลอิสระลดลง ส่งผลให้ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายดีขึ้นรวมถึงระบบเผาผลาญด้วยนั่นเอง เหมาะกับใครบ้าง เช่น คนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป, ลดน้ำหนักไม่ลง, อ้วนลงพุง, ทานน้อยแต่น้ำหนักขึ้น, ผู้ที่ออกกำลังกายแต่สร้างกล้ามเนื้อไม่ได้ ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศโดยเฉพาะเพศชาย หากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือมีปัญหากับหลอดเลือด มักจะส่งผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเสริมวิตามินมากแค่ไหน ก็อาจไม่เห็นผล เพราะโลหะหนักที่สะสมไปขัดขวางการไหลเวียนเลือด ขัดขวางการขนส่งออกซิเจน การขนส่งสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะการไหลเวียนของเลือดที่บริเวณอวัยวะเพศชายในขณะที่ต้องการให้เกิดการแข็งตัว อีกทั้ง หากร่างกายปราศจากโลหะหนัก จะทำให้เพศชายนั้นมีพลังงานเพิ่มขึ้น และระบบต่างๆสมดุลมากขึ้น เช่น การผลิฮอร์โมน เหมาะกับผู้ที่ สูบหรี่จัด, ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ, ผู้ที่เครียดสะสม, ผู้ที่ชอบทานอาการรสหวาน ทานปิ้งย่างหรือของทอดเป็นประจำ การดีท็อกซ์สารพิษโลหะหนักออกจากร่างกาย ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญของเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) เพื่อนำไปสู่ภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์สูงสุด หากท่านใดมีข้อสงสัยทางเราจะมี HEALTH CONSULTANT คอยให้ข้อมูลสามารถสอบเพิ่มได้ที่ Line@ : https://lin.ee/i0InL89 หรือสอบถามได้ที่เบอร์ : 095-934-9640 Chelation Therapy ตรวจสารพิษโลหะหนักด้วย Oligoscan วิตามินดริป IV DRIP

  • มลพิษทางอากาศสู่มะเร็งปอดแบบไม่ทันรู้ตัว แม้ว่าคุณไม่ได้สูบบุหรี่

    โดยปกติการสูบบุหรี่มักจะทำให้เกิดโรคร้ายอย่างมะเร็งปอดได้ง่ายๆ แต่ในปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ถูกพบว่าเป็นมะเร็งปอดแม้ไม่ได้สูบบุหรี่ เพราะสูดดมควันบุหรี่มือสอง หรือแม้แต่สัมผัสสารก่อมะเร็งอย่าง แร่ใยหิน (asbestos), ก๊าซเรดอน (radon), สารหนู, ถ่านหิน, รังสี, ควันธูป, ควันท่อไอเสีย รวมไปถึงมลภาวะทางอากาศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดทั้งหมด มลพิษทางอากาศนำพาไปสู่มะเร็งปอด มลพิษและฝุ่นละอองทางอากาศ เป็นสสารที่มีขนาดเล็กสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ปอดเราได้โดยง่าย เมื่อฝุ่นควันต่างๆเข้าสู่ปอดร่างกายเราจะพยายามกำจัดทิ้ง หากกำจัดออกไปได้ไม่หมดจะทำให้ไปตกค้างและฝั่งอยู่ตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบเรื้อรัง เมื่อเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานจะทำให้ฝุ่นควันที่ตกค้างพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งนำไปสู่มะเร็งปอดในที่สุด อีกทั้งมลพิษทางอากาศยังทำให้เกิดโรคต่างๆอีกมากมาย เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดในสมองแข็งตัว โรคหอบหืด ไซนัส ภูมิแพ้ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น โดยสถิติจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติปี 2565 เผยว่าในประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 400 คนต่อวัน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยมะเร็งปอดประมาณ 11 % ทำให้มะเร็งปอดจัดเป็นโรคมะเร็งที่คนไทยเป็นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หรือไอมีเลือด เหนื่องง่าย หายใจลำบาก น้ำหนักลดลงไม่มีสาเหตุ เบื่ออาหาร หายใจมีเสียงดังผิดปกติ เสียงแหบ เจ็บบริเวณหน้าอก วิธีหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แจ้ง หรือการทำกิจกรรมในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง หลีกเลี่ยงการทำงานในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง หากจำเป็น ควรจัดให้มีการระบายอากาศถ่ายเทอากาศบริสุทธิ์ให้หมุนเวียนเปิดไว้ หรือติดตั้งพัดลมดูดอากาศ สวมหน้ากากอนามัยที่เหมาะสม เช่น หน้ากากอนามัย N95 หมั่นตรวจสุขภาพทั่วไปเป็นประจำเพื่อคัดกรองความเสี่ยงและตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ช่วยกันลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดมลพิษ เช่น หลีกเลี่ยงการเผาไหม้ที่ไม่จำเป็น การติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงฝุ่นควันและมลพิษทางอากาศจะช่วยให้ปอดเราโดนทำลายน้อยลง หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรดูแลและเสริมภูมิคุ้มกันให้ปอด ด้วยวิตามินแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ IV DRIP สูตร PM2.5 Cleanse ที่ช่วยทำความสะอาดปอด ลดการอักเสบของร่างกาย ให้เครื่องกรองฝุ่นของร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากพบอาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด ควรรีบพบแพทย์โดยทันที สร้างภูมิให้ร่างกายไม่แพ้ฝุ่น ด้วย IV Drip PM 2.5 Cleanse PM 2.5 ตัวการเกิดสารพิษโลหะหนักในหลอดเลือด Vitamin IV Drip

  • PM 2.5 ตัวการเกิดสารพิษโลหะหนักในหลอดเลือด

    ฝุ่น PM 2.5 นอกจากจะส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจแล้ว ยังเป็นตัวการสำคัญที่นำพาสารพิษโลหะหนักเข้าสู้ร่างกายเราแบบไม่รู้ตัวอีกด้วย วันนี้เราจะมาพูดถึงสารพิษโลหะหนักที่มาจากฝุ่น PM 2.5 ว่ามีตัวไหนบ้างรวมไปถึงวิธีการกำจัดสารพิษเหล่านี้ว่าควรทำอย่างไร ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ฝุ่น PM 2.5 กับสารพิษโลหะหนัก วิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 Chelation ล้างสารพิษ ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ฝุ่น PM2.5 เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถึงจะเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดเล็ก แต่เมื่ออยู่รวมกันจะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกัน ฝุ่น PM 2.5 กับสารพิษโลหะหนัก ผุ่นละอองนี้จะมีสารพิษโลหะหนักปะปนอยู่ด้วย เช่น ซีลีเนียม แคดเมี่ยน สารหนู เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเล็ดลอดเข้าไปทำลายระบบทางเดินหายใจแล้ว ยังเล็ดลอดเข้าไปถึงปอดเข้าสู่เส้นเลือดได้โดยตรง และแทรกซึมเข้าไปในกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย ส่งผลเสียต่อการแข็งตัวของเลือด การทำงานของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง โรคมะเร็งปอด โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจ เป็นต้น วิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาออกจากบ้าน และควรเลือกหน้ากาอนามัยที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ได้ เช่น หน้ากาก N95 หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อลดโอกาศการหายใจและนำฝุ่นเข้าร่างกาย หากเลี่ยงไม่ได้ควรใส่หน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองได้ ปิดประตูหน้าต่าง และใช้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดฝุ่นละอองและมลพิษภายในบ้าน ดื่นน้ำสะอาดเพื่อช่วยขับสารพิษ ด้วยปัจจัยทางการดำเนินชีวิต หรือ ปัจจัยภายนอกที่คุณเองไม่สามารถควบคุมไม่ให้เจอกับฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ จึงส่งผลให้ในร่างกายของคุณมีการสะสมสารพิษโลหะหนัก ซึงสามารถกำจัดออกได้ด้วย Chelation Chelation คือ การล้างสารพิษโลหะหนักในหลอดเลือดผ่านการ Detox รูปแบบหนึ่ง เพื่อดึงเอาสารพิษชนิดโลหะหนักออกจากร่างกาย แต่จะเติมสารดักจับโลหะหนัก EDTA โดยผ่านวิธี IV Drip เพื่อทำการจับโมเลกุลของสารพิษที่เป็นโลหะหนักสะสมภายในหลอดเลือด และช่วยให้หลอดเลือดกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง สำหรับคนที่สนใจเข้ารับบริการ IV Drip Chelation Therapy ข้อควรทราบคือ ตรวจ CBC, BUN, Creatinine เพื่อประเมินเม็ดเลือดและความสมบูรณ์ของไต อ่านผลพร้อมกันกับคุณหมอ คุณหมอจะประเมินจากผลที่ได้ว่าคุณควรเข้ารับ Chelation จำนวนกี่ครั้ง Chelation Therapy ฝุ่น PM 2.5 Vitamin IV Drip

  • นอนไม่หลับ พักผ่อนน้อย ตัวเร่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันตกต่ำลง

    การพักผ่อนสำคัญมากต่อร่างกายคนเราอย่างมาก เพราะในช่วงเวลาที่เราได้พักผ่อนนั่นร่างกายจะมีการซ่อมแซมตัวเองเพื่อฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายก็จะเหมือนคนที่กำลังทำงานอยู่ตลอดเวลาแบบไม่มีการพัก จนส่งผลเสียให้เสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ อีกทั้งยังส่งผลให้ภูมิคุ้มกันตกต่ำลงจนป่วยง่าย ติดเชื้อง่ายนั่นเอง พักผ่อนน้อยส่งผลเสียกับภูมิคุ้มกัน!! การพักผ่อนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และปรับสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับการรับมือกับสภาวะติดเชื้อต่างๆที่จะเข้ามาในร่างกายเราแบบไม่รู้ตัว เพราะร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมา เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง หากเราอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายไม่อ่อนแอ ป่วยง่ายขึ้น หรือ บ่อยขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนักขึ้นซึ่งเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นและเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะสลายตัวในเวลาต่อมา จึงทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสลดลง อีกทั้งการอดนอนยังส่งผลเสียทางด้านอื่นๆอีกหลายอย่าง เช่น สมาธิน้อยลง รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ หงุดหงิดง่าย เป็นต้น วิธีช่วยให้นอนหลับง่าย ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่ควรออกกำลังกายหนักมากจนเกินไป หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาบ่ายและก่อนเข้านอน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินจะทำให้เราหลับยากขึ้น เข้านอนให้เป็นเวลา ไม่ควรเกิน 21.00-23.00 น. เพื่อให้ร่างกายจดจำ งดการเล่นมือถือ หรือดูซีรีส์ที่ทำให้สมองเกิดความคิด ในช่วงเวลาอย่างช้าสุด 20 นาทีก่อนนอน ลองอ่านหนังสือ ฟังเพลง ก่อนนอนก็ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้ รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย Serotonin หรือ Tryptophan ก็ช่วยให้นอนหลับง่ายได้ เคล็ดลับสำหรับคนหลับยาก การเสริมวิตามินเพื่อช่วยให้การนอนหลับเป็นไปได้ง่ายขึ้นอย่าง วิตามิน Sleep Well เพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ เพิ่มสารสื่อประสาทในสมอง ลดความตึงเครียดและวิตกกังวลให้นอนหลับได้สบาย อุดมไปด้วย Pharma GABA, Vitamin B6, Magnesium, L-Theanine, 5-HTP ที่ช่วยให้คนที่นอนหลับยากกลับมานอนหลับง่ายยิ่งขึ้น 💜Sleep Well ราคา 790 บาท วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน Magnesium ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น เข้านอนไวแต่หลับจริงๆเที่ยงคืนตี1คุณอาจต้องพึ่ง Melatonin ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เสี่ยงภาวะต่อมหมวกไตล้า

  • 7 วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

    โดยปกติร่างกายคนเราต้องการวิตามินมาเพื่อซ่อมแซมและปรับสมดุล ป้องกันและลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆได้ และที่สำคัญวิตามินยังสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย วันนี้เราจะมาพูดถึง 5 วิตามินที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง ไม่ป่วยง่ายกันค่ะ ซิงค์ (Zinc) ถือเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างมาก เพราะซิงค์จะช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว (T-Lymphocyte) กระตุ้นการสร้างโปรตีนที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ ซิงค์ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกันไม่ให้เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา เข้ามาสู่ร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการป่วย ลดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกที่เกิดจากไวรัสได้อีกด้วย วิตามินซี (Vitamin C) นอกจากจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยป้องกันไข้หวัดแล้ว วิตามินซียังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์เม็ดเลือดขาว (lymphocyte) รวมไปถึง neutrophil ในกระบวนการจับกินเชื้อโรค (phagocytosis) ช่วยลดความเสื่อมและทำให้การทำงานของเซลล์กลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กำจัดเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญวิตามินซียังช่วยเสริมสร้างคลอลาเจนทำให้ผิวขาวใสดูเปล่งปลั่ง วิตามินดี (Vitamin D) เป็นอีกหนึ่งวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ วิตามินดีจะทำหน้าที่ควบคุมระบบภูมิคุ้มกันให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวโมโนไซต์ (Monocyte) และแมคโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สำคัญในการช่วยลดการอักเสบในร่างกายอีกด้วย NAC (N-Acetyl-cysteine) มีฤทธิ์ช่วยละลายเสมหะ และยังทำหน้าที่ Anti-oxidant และ Anti-Inflammation ลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกันปอด เป็นสารตั้งต้นในการสร้าง Glutathione ในเซลล์เม็ดเลือดขาว lymphoyte ทำให้การกำจัดไวรัสมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงชะลอความรุนแรงของการที่เชื้อลงปอด วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) วิตามินบีรวม ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ช่วยบำรุงร่างกาย จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยป้องกันโรคนิ่วในไต โรคผิวหนัง และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทได้อย่างดีอีกด้วย อีกทั้งยังทำให้อารมณ์ดีขึ้น บรรเทาอาการวิตกกังวล ส่งเสริมสุขภาพ และบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว เควอซินทิน (Quercetin) คือสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ชนิดหนึ่งที่มักพบใน หัวหอม คะน้า แอปเปิ้ล องุ่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันช่วยบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก เพราะเควอซินทินจะช่วยยับยั้งเอนไซม์และสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น สารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาเมื่อสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เบต้ากลูแคน (Beta Glucan) คือสารอาหารประเภทใยอาหารชนิดแป้ง หรือ “โพลีแซคคาไรด์” (Polysaccharides) ที่ช่วยเพิ่มจำนวนและกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่คอยจำแนกสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการภูมิแพ้ และควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากจนเกินไป การเสริมวิตามินเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและลดอาการเจ็บป่วยของร่างกาย จึงมีความสำคัญ โดยทางไธรฟ์ คลินิก ได้คิดค้นสูตรที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอย่าง IV DRIP สูตร Immune Upgrade และ Supplement Immune เป็นวิตามินสูตรเฉพาะที่มีวิตามินซีเข้มข้นและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เหมาะกับผู้เป็นหวัดบ่อย แพ้อากาศหรือภูมิแพ้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังป่วยได้อย่าดี 💛IV DRIP สูตร Immune Upgrade ราคา 3,800 บาท/ครั้ง 💊Supplement Immune ราคา 900 บาท Vitamin IV Drip สร้างภูมิให้ร่างกายไม่แพ้ฝุ่น ด้วย IV Drip PM 2.5 Cleanse

  • โรคปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy)

    ลองคิดดูว่าหยิบจับอะไรก็เจ็บปวด หรือทุกย่างก้าวก็จะปวดร้าว ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ หากคุณชามือ ชาเท้า หรือเริ่มปวดแสบปวดร้อนที่มือหรือเท้า ระวังโรคปลายประสาทอักเสบ โรคปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy) อาการที่พบบ่อย กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ วิตามินที่ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคปลายประสาทอักเสบ IV Drip สูตร ALA โรคปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy) คือ ภาวะของเส้นประสาทส่วนปลาย ที่ทำหน้าที่รับส่งคำสั่งจากสมอง ไขสันหลังไปยังอวัยวะต่างๆเกิดความเสียหาย เกิดการบาดเจ็บ เกิดการติดเชื้อ ปัญหาการเผาผลาญ หรือโรคเบาหวาน ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรง รู้สึกชา และปวด มักจะเกิดขึ้นบริเวณมือและเท้าเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงการทำงานส่วนอื่นๆในร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร และการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น โรคปลายประสาทอักเสบ ถือเป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัว และเกิดขึ้นแบบไม่ทันได้รู้ตัว เมื่อทุกส่วนของร่างกายเราถูกควบคุมด้วยคู่เส้นประสาท เมื่อปลายประสาทอักเสบจึงเกิดได้หลายๆจุดในร่างกาย โดยเฉพาะ ปลายมือปลายเท้า ยิ่งการอักเสบรุนแรง ผู้ป่วยจะเจ็บปวดทรมาณเป็นอย่างมากในการเคลื่อนไหว อาการที่พบบ่อยเมื่อเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือเสียวที่บริเวณมือและเท้า ปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่ได้รับผลกระทบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง (จะเห็นได้ชัดโดยเฉพาะที่เท้า) เสียการทรงตัว เหงื่อออกมากกว่าปกติหรือไม่ออกเลย ประสาทสัมผัสบางส่วนไม่ทำงาน ความดันโลหิตต่ำทำให้เวียนหัวและหน้ามืด นอนไม่หลับ กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ทำงานหนักพักผ่อนน้อย ดื่มแอลกอฮอลล์เป็นประจำ สูบบุหรี่จัด ผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินบี 1, บี 6 และ บี 12 รับประทานยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อเส้นประสาท การได้รับสารพิษ โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว วิตามินที่ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคปลายประสาทอักเสบ วิตามินบี 1 ช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำงานของระบบประสาทและปฏิกิริยาเคมีในการสร้างพลังงานของเส้นประสาท วิตามินบี 6 ช่วยสร้างสารสื่อประสาทในระบบประสาท ช่วยให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบประสาทได้ดีขึ้น วิตามินบี 12 ช่วยสร้างเสริมการทำงานของปลอกหุ้มประสาท ช่วยให้เซลล์ประสาทที่ถูกทำลายสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ อีกหนึ่งตัวช่วยดีๆที่ช่วยลดอาการปลายประสาทอักเสบได้ ไธรฟ์ คลินิก ขอแนะนำ IV Drip ALA เพราะ ALA เป็นสาร antioxidant ที่ช่วยยับยั้งการอักเสบของส่วนต่างๆ อีกทั้งยังมีงานวิจัยรองรับว่า ALA สามารถช่วยคนเป็นปลายประสาทอักเสบได้ เนื่องจากเส้นประสาทมีส่วนที่เป็นไขมัน ALA เลยเข้าไปทำงานกับเส้นประสาทได้ดี IV Drip ALA ราคา 3,800 บาท/ครั้ง หากท่านใดมีข้อสงสัยทางเราจะมีเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญคอยให้ข้อมูลและคอยให้ความรู้โดยละเอียด สามารถสอบเพิ่มได้ที่ Line@ : https://lin.ee/i0InL89 หรือโทรมาสอบถามได้ที่เบอร์ : 095-934-9640 #โรคปลายประสาทอักเสบ #มือเท้าชา #IVDripALA

  • น้ำตาลภัยร้ายใกล้ตัวที่คุณไม่คาดคิด

    น้ำตาลหรือของหวานจัดเป็นอาหารที่สาวๆส่วนใหญ่ชื่นชอบกันอย่างมาก น้ำตาลหรือความหวาน ที่เราทานแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่านั้น ถ้าหากมากเกินไป มักจะก่อให้เกิดผลที่แสนขม เพราะน้ำตาลแฝงไปด้วยอันตราย ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เยอะกว่าที่คุณคิด วันนี้จะมาบอกถึงเมื่อบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากอาจเป็นของโปรดของเหล่าวายร้าย ดังนี้ น้ำตาลเป็นอาหารของเซลล์มะเร็ง น้ำตาลที่มักพบได้ในขนมหวาน เค้ก ช็อกโกแลต อาหารแปรรูป หรือแม้แต่ในเบเกอรี่นั่น ล้วนเป็นอาหารชั้นดีของเนื้องอกที่สามารถกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ และในส่วนของน้ำตาลฟรุกโตสก็เป็นอาหาร และแหล่งพลังงานให้แก่เซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ การทานน้ำตาลเกินความจำเป็นของร่างกาย จะเป็นการไปเสริมการเติบโตของมะเร็ง และทำให้เซลล์มะเร็งยังคงมีอายุไม่ตายเหมือนเซลล์ทั่วไป อย่างไรก็ตามแม้ว่ายังไม่มีผลพิสูจน์แน่ชัดว่าน้ำตาลเป็นตัวการที่ให้ก่อเป็นมะเร็งโดยตรง แต่หากบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากๆจะทำให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน ภาวะดื้ออินซูลิน และการอักเสบตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้จะเพิ่มโอกาสของความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งได้นั่นเอง น้ำตาลเพิ่ม Yeast Overgrowth ยีสต์จะอยู่ในลำไส้เราเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งที่ทำให้ยีสต์เจริญเติบโตได้อย่างดีคือน้ำตาล เพราะน้ำตาลถือเป็นอาหารชั้นเลิศของยีสต์หรือเชื้อรา หากเรารับประทานน้ำตาลเข้าไปในจำนวนมากจะทำให้ยีสต์มีการกระจายตัวและเพิ่มจำนวนในลำไส้เราอย่างรวดเร็ว เมื่อยีสต์มีจำนวนมากเกินกว่าที่ลำไส้ต้องการจะส่งผลให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ผนังลำไส้มีอาการบวม เกิดช่องว่างตามลำไส้ และทำให้สิ่งที่ถูกย่อยไม่สมบูรณ์เล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือดของเราจนนำไปสู่ ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) ในที่สุด น้ำตาลฆ่าแบคทีเรียดีในร่างกาย Bacteria or จุลินทรีย์ตัวแย่ในลำไส้ - Probiotic หรือ โพรไบโอติก หมายถึง แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ ช่วยทั้งเรื่องภูมิคุ้มกัน และเรื่องผิว เมื่อเราบริโภคอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูงมันจะไปทำลายแบคทีเรียสายพันธุ์ดีๆ ขณะเดียวกัน แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสารพิษ (Endotoxin) ในร่างกายจะเพิ่มขึ้นๆ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค เช่น เบาหวาน อ้วนลงพุง หลอดเลือดหัวใจ ในกรณีการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ซึ่งทำให้มีไข้ตัวร้อน การได้รับน้ำตาลกลูโคสจะยิ่งเพิ่มอนุมูลอิสระ ที่ไปเร่งการทำลายเซลล์ประสาทในสมองเพิ่มเติมอีกด้วย อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้งดน้ำตาลแบบ 100% เพราะน้ำตาลก็ยังมีความสำคัญในการสร้างพลังงาน ลองเลือก รับประทานน้ำตาลธรรมชาติ เช่น ผลไม้ หรือผัก และลดความหวานที่ประดิษฐ์ขึ้นมา เช่น ขนมหวาน หรือสารแทนความหวาน เพื่อสร้างสมดุลดีดีในร่างกาย แบบไม่ก่อให้เกิดโรคค่ะ Urine Organic Profile Test Vitamin IV Drip

  • สร้างภูมิให้ร่างกายไม่แพ้ฝุ่น ด้วย IV Drip PM 2.5 Cleanse

    ในช่วงนี้หลายๆคนที่ต้องเดินทางออกไปทำงานในตอนเช้า อาจจะต้องพบเจอกับปัญหาฝุ่นละอองและควันรถที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว และยังต้องพบเจอกับฝุ่น PM 2.5 ที่ปกคลุมอยู่ในอากาศเมื่อเราหายใจเข้าไปแล้วจะส่งเสียต่อสุขภาพอย่างมากแบบที่คุณอาจไม่รู้ตัว ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้น ผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว IV Drip PM 2.5 Cleanse เหมาะกับใคร ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ฝุ่น PM2.5 เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถึงจะเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดเล็ก แต่เมื่ออยู่รวมกันจะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกัน องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญและได้ออกมาแจ้งเตือนเกี่ยวกับความอันตรายของฝุ่น PM 2.5 เพราะเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอด และหลอดเลือดได้ง่าย ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้น ปวดศีรษะ โพรงจมูกอักเสบ ไอ จาม เมีเสมหะ ผิวหนังอักเสบ ระคายเคือง ผื่นแดง และอาการคัน เป็นสิวเรื้อรัง กระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายผิวและการอักเสบในร่างกาย ผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้น นอนหลับยาก ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดความดันโลหิตสูง ส่งผลกระทบต่อตับ ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ โรคมะเร็งปอด ป้องกันตนเองจากฝุ่นจิ๋ว ที่เข้ามาถล่มปอดคุณ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย เลือกใช้เครื่องฟอกอากาศเมื่ออยู่ภายในห้อง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายไม่แพ้ฝุ่น ด้วย Booster IV Drip สูตร PM 2.5 Cleanse ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้คัดกรองฝุ่นและควัน โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 IV Drip PM 2.5 Cleanse เหมาะกับใคร ผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เช่น ไซนัส โรคปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ เป็นต้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ป่วยง่าย ผู้ที่มีผิวหนังอ่อนแอ ผิวหนังอักเสบง่าย สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง ผู้ที่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น ตีกอล์ฟ วิ่ง ปั่นจักรยาน เล่นเทนนิส ขี่ม้า เป็นต้น IV Drip สูตร PM 2.5 Cleanse ราคา 3,800 บาท/ครั้ง Vitamin IV Drip ตรวจภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน IgE

  • เผยผิวสวยง่ายๆด้วย 3 เคล็ดลับจาก ไธรฟ์ คลินิก

    เข้าใกล้ช่วงเทศกาลวันหยุดยาวเข้ามาเรื่อยๆ สาวๆคนไหนที่กำลังวางแพลนในการท่องเที่ยว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการดูแลผิว ด้วยสภาพแวดล้อมและอาหารการที่อาจส่งผลกระทบมาถึงผิวของเราได้ ซึ่งวิธีการดูแลผิวด้วยวิตามินเราสามารถเพิ่มวิตามินผิวได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ Drip Vitamin การฉีด Vitamin หรือจะเป็นการทาน Vitamin ก็สามารถช่วยบำรุงผิวได้เช่นกัน วันนี้ ไธรฟ์ คลินิก มีเคล็ดไม่ลับมาฝากสาวๆที่ต้องการดูแลผิวแบบเร่งด่วนเพื่อให้กลับมาสวยใสได้ทันเทศกาลและวันสำคัญ 1. IV DRIP Gorgeous Skin วิตามินแบบดริปเป็นวิตามินซี (Vitamin C) เข้มข้นสูตรพิเศษที่มีมัลติวิตามิน แร่ธาตุ เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง เปล่งปลั่ง นุ่มลื่น มีความชุ่มชื่น พร้อมปรับสภาพสีผิวให้สว่างไปทั่วเรือนร่าง 🩷IV DRIP Gorgeous Skin ราคา 9,000 บาท/ครั้ง 2. REJU Growth factor Facial Treatment สำหรับการเน้นบำรุงผิวหน้าโดยเฉพาะ สารสกัดจากรก Placenta) ที่จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจน การสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หน้าเรียบเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวอิ่มฟู ลดเลือนริ้วรอย เผยผิวกระจ่างใส และที่สำคัญยังช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าได้อีกด้วย 🌸PPGF ความเข้มข้น 50 pg/ml (5 ml) ราคา 19,900 บาท 🌸PPGF ความเข้มข้น150 pg/ml (5 ml) ราคา 29,900 บาท 3. Supplement Skin Nutrients วิตามินแบบรับประทาน เป็นวิตามินสำหรับผิวและแร่ธาตุช่วยฟื้นฟูพร้อมบำรุงผิวให้สดใส เปล่งปลั่ง พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดด และช่วยให้ผิวแข็งแรง พกพาไปได้ทุกที่สะดวกสบายแถมได้ผิวสวยใสแบบมีออร่าอีกด้วย 💊Supplement Skin Nutrients ราคา 790 บาท 3 สูตรเคล็ดลับบูสผิวสวยแบบเร่งด่วนที่ ไธรฟ์ คลินิก แนะนำเป็นวิธีที่ช่วยให้ผิวดูดซับวิตามินและนำไปใช้ได้ทันที และเป็นสูตรที่ถูกคิดค้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยงชาญทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยโดยเฉพาะมั่นใจได้เลยว่าผิวของคุณจะสวยใสแบบปลอดภัยอย่างแน่นอน

bottom of page