top of page

Thrive Wellness Clinic

  • Facebook
  • YouTube
  • Instagram

ชั้น2 เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา 
Opening Hours เวลาเปิดทำการ 10:00 -19:30 

thrive-clinic.png

Search Results

พบ 198 รายการสำหรับ ""

  • ปวดท้องประจำเดือน ปวดบิดท้องน้อย อาจมาจากขาดวิตามิน ติดกาแฟ นอนดึก เครียดสูง

    ปวดท้องประจำเดือน ปวดบิดๆ ปวดหน่วงจนทำอะไรไม่ได้ อาจมาจาก Lifestyle ขาดวิตามิน กินของมัน ทานกาแฟ ติดซีรีส์ นอนเช้า? ❣️ประจำเดือนเกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก หากไข่ไม่มีอสุจิมาผสม จะเกิดเป็นวงจรโดยเฉลี่ยทุกๆ 28 วัน ซึ่งกระบวนระหว่างหลุดลอกนี้เองค่ะ ที่ส่งผลให้ผู้หญิงหลายๆ คนเกิดอาการปวดท้องน้อย ปวดท้องบิด ปวดหน่วง ในบางคนมีอาการประจำเดือนมาไม่ตรงบ่อยๆ ถือว่ายังไม่อันตรายนะคะ ถ้าภายใน1-2 เดือน เป็นๆ หายๆ ฮอร์โมนของคุณอาจจะมีการปรับยังไม่คงที่ ถ้าประจำเดือนขาดไปไม่เกินช่วง 6 เดือน แล้วกลับมาเป็นไม่ตรงวันกับช่วงที่เป็นก่อนหน้า เช่น ปกติมาทุกวันที่ 1 แต่ตอนนี้กลับมาเป็นทุกช่วงสิ้นเดือน หรือประจําเดือนเลื่อนเข้าออกไม่ค่อยตรงกัน อาการนี้ก็ยังนับว่าเป็นปกติค่ะ แต่ต้องเคลื่อนเข้าหรือออกไม่เกิน 7 วัน และอยู่ในช่วงห่างกัน 21-35 วันนะคะ ที่น่าเป็นห่วงคือ สาวๆ ที่ประจำเดือนขาดเกิน 3-6 เดือนขึ้นไป อาจเกิดโรคแทรกซ้อนที่ส่งผลให้ฮอร์โมนไม่สร้างประจําเดือนขึ้นมาได้ แนะนำปรึกษาแพทย์ทันที 🥀เมื่อฮอร์โมนไม่สมดุล ที่เกิดจากพฤติกรรมประจำวัน เช่น ความเครียด นอนไม่หลับ ทานอาหารรสจัด ขาดวิตามิน แร่ธาตุ ดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม อาจส่งผลให้อาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงขึ้น ร่วมกับอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อารมณ์แปรปรวน มีปัญหาเหงื่อออกระหว่างนอน ร้อนวูบวาบ เพราะกระตุ้นการผลิตสาร Prostaglandin ออกมามากเกินไป ซึ่งเป็นฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งกระตุ้นการบีบเกร็งตัวของมดลูกและปวดท้องน้อยให้มากขึ้น 🍌 แนะนำรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินซี ที่จะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เกร็งในช่องท้อง กระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น หากไม่ดีขึ้น มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะเรื่องเพศที่สำคัญต่อเพศหญญิง 🌿ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก พร้อมให้คำแนะนำและการรักษาโดยไม่ใช้ยา เพราะประจําเดือนเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้หญิง ทุกๆ วัย รับคำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ประจำเดือนไม่มา เพราะอะไร? ปวดท้องประจำเดือนเกิดจากอะไร? Pergesterone เรื่องฮอร์โมนของผู้หญิงที่ควรรู้ _____________ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Thrive Wellness Clinic ไธรฟ์ คลินิก โครงการ The Crystal เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เฟส 1 ชั้น 2 โทร. 0959349640 Line @thrivewellnessth เปิดทุกวัน 10:00-19:30

  • อาการบ้านหมุน เพราะหลอดเลือดคุณกำลังอุดตันอยู่หรือเปล่า?

    อาการบ้านหมุน😵‍💫 เพราะหลอดเลือดคุณกําลังอุดตันอยู่หรือเปล่า? อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน (Vertigo) จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหมุน โคลงเคลงตลอดเวลาทั้งที่อยู่กับที่ หากเกิดอาการเหล่านี้อาจบ่งบอก ถึงสัญญาณหลอดเลือดอุดตันที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดในสมองแตก 💓 อาการหลอดเลือดอุดตัน เป็นภาวะที่การไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย มีปัญหา ทำให้เลือดไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่สมองซึ่งจะส่งผลให้สมองขาดเลือด และเกิดอาการบ้านหมุน,เวียนศีรษะ หรือหากเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ อาจมีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน ร่วมด้วย "หลอดเลือด" เปรียบเหมือนกับสายยางที่มีเลือดไหลเวียนผ่านทุกวัน ซึ่งในเลือดอาจมีสารพิษปะปนมาด้วย เมื่อไหลผ่านหลอดเลือดอาจทำให้เกิดเป็นตะกอนติดค้างอยู่บริเวณผนังหลอดเลือดและขัดขวางระบบการไหลเวียนเลือด ☢️ สารพิษที่ปะปนมาในเลือดและไม่ถูกขับออกไป คือ "โลหะหนัก" ซึ่งจะปะปนอยู่ในอาหารที่รับประทานทุกวัน เช่นอาหารรสจัด, ปิ้งย่าง, ชาบู, ก๋วยเตี๋ยว, อาหารแช่แข็ง หรือ ในเครื่องสําอาง ยาย้อมผม สีทาเล็บ ยารักษาโรค ฝุ่น PM2.5 วัสดุอุดฟัน เนื้อสัตว์เร่งฮอร์โมน ซึ่งทั้งหมดเต็มไปด้วยสารปรอท ตะกั่ว เหล็ก สารหนู นิกเกิล ดีบุก โครเมียม อะลูมิเนียม แมงกานีส สารโลหะหนักประเภทนี้ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกไปได้ด้วยกลไกของร่างกาย ต้องอาศัยสาร EDTA (Ethylene Diamine Tetra-acetic Acid) เพื่อทําการจับโมเลกุลของโลหะหนักสะสม ฝังแน่นที่ผนังหลอดเลือดและขจัดออกทางปัสสาวะ 🍂 IV Drip Chelation คือ วิธีการบำบัดหลอดเลือดที่อาจเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน คล้ายกับการให้น้ำเกลือ เพื่อเติมวิตามินผ่านทางหลอดเลือดดํานั่นเองค่ะ แต่จะเพิ่มสาร EDTA ช่วยฟื้นฟูกระบวนการทางร่างกายไม่ให้ตับทํางานหนักจนเกินไป เปลี่ยนน้ําตาลให้กลับมาใช้เป็นพลังงานได้ และยังรวมถึงอวัยวะส่วนอื่นที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น ⚡Promotion Chelation 1 ครั้ง 3,800 บาท 10 ครั้ง แถมฟรี 3 ครั้ง⚡ _____ Thrive Wellness Clinic 🌿 ไธรฟ์ คลินิก โครงการ The Crystal เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เฟส 1 ชั้น 2 📱โทร. 0959349640 💬Line @thrivewellnessth 🕙เปิดทุกวัน 10:00-19:30

  • คุณผู้ชายเช็กด่วน!ลงพุง ขี้เหวี่ยงวีน กำลังเข้าสู่วัยทองหรือเปล่า?

    ภาวะวัยทองไม่ได้เกิดแค่ในผู้หญิงเท่านั้น เพราะคุณผู้ชายก็เจอภาวะ ‘ชายวัยทอง’ ได้ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่เริ่มอ้วนลงพุง ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย กําลังเข้าสู่วัยทองหรือเปล่า? โดยปกติอาการวัยทองของผู้หญิงจะทราบได้ง่ายกว่า เมื่อเริ่มเข้าสู่อายุ 50+ ประจําเดือนจะเริ่มขาดหายและหมดไป แต่ในผู้ชายไม่มีสัญญาณแน่ชัดแบบผู้หญิง!! ♐เช็ก! คุณเข้าข่ายอาการวัยทองหรือเปล่า? ✅ อ้วนลงพุง มีเนื้อย้อยที่หน้าท้อง ✅ กล้ามเนื้อลดลง ✅ เริ่มมีผมร่วงกว่าปกติ ✅ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห อารมณ์ร้อน ✅ ผิวหนังแห้ง ผิวเริ่มเหี่ยว ✅ นอนไม่หลับ หรือนอนไม่สนิท ✅ สมรรถภาพทางเพศลดลง ร่างกายประกอบไปด้วยฮอร์โมนชายและหญิง แต่ในผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่า คุณผู้ชายจึงมีกล้ามเนื้อ ร่างกายกำยำ หนวดเครา เมื่อเข้าสู่อายุ 40-50 ปี ฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ผลิตน้อยลง หรือผลิตไม่ได้ Estrogen (ฮอร์โมนเพศหญิง) จึงสูงมากขึ้นเกิดความไม่สมดุล ทำให้คุณเข้าสู่ภาวะวัยทองในผู้ชาย ⚡ ไม่ใช่แค่อาการขี้หงุดหงิดง่าย โมโห ฉุนเฉียว (ลักษณะคล้ายอาการวีน เหวี่ยงในผู้หญิง) แต่ยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญ ไขมันในร่างกายสูงแต่ไม่ถูกเบิร์น เอาไปใช้เป็นพลังงาน และเซลล์ไขมันนั้นยังถูกเอนไซม์เปลี่ยนจากฮอร์โมนชายให้เป็นฮอร์โมนหญิงเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง อารมณ์แปรปรวน มวลกล้ามเนื้อลด นอนไม่หลับ ความจำไม่ดี กระดูกเปราะ พลังงานในร่างกายน้อยลงนั่นเอง 🤵🏻 หากตรวจสุขภาพจะพบว่าระดับฮอร์โมนเพศชาย Testosterone จะเริ่มผลิตน้อยลงเรื่อยๆ ร่วมกับพฤติกรรมของชีวิตที่ส่งผลให้ฮอร์โมนหลั่งไม่สมดุลมากขึ้น เช่น ความเครียดสะสม ส่งผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติซอลไม่เพียงพอเพื่อกำจัดความเครียดในร่างกาย ทำให้ร่างกายในส่วนอื่นเกิดรวนไปด้วย เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ระบบเผาผลาญปั่นป่วน เกิดเผาผลาญกล้ามเนื้อแทนไขมัน เมื่อทานหวานมากขึ้นระดับไขมันจึงสะสมและเกิดภาวะอ้วนง่ายกว่าปกติ 🔰 แนะนำตรวจสมดุลฮอร์โมน เป็นประจำทุกปี เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนเพศชาย ป้องกันการเข้าสู่ "วัยทอง" ก่อนวัยอันควร At Thrive Wellness Clinic ผ่านการตรวจ Thrive Hormones Balance อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ฮอร์โมนเพศชายที่หมดลงเมื่อคุณเริ่มเข้าสู่อายุ 30 คลิก! _______ Thrive Wellness Clinic 🌿 ไธรฟ์ คลินิก โครงการ The Crystal เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เฟส 1 ชั้น 2 👩🏻‍⚕️ปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการ 📱โทร. 095-934-9640 📟Line @thrivewellnessth 🕙เปิดทุกวัน 10:00-19:30 www.thrivewellnessth.com

  • ผลตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง "คุณจีน่า The Face"

    "ร่างกายขาดวิตามิน แร่ธาตุ โลหะหนักสะสม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว แถมอาหารที่ชอบกินทําผิวพัง สมดุลลําไส้เสีย" ถึงเวลาฟังผลหลังจาก "คุณจีน่า The Face" เข้ารับการตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง Food Intolerance Test IgG 216 รายการ และ ตรวจโลหะหนัก วิตามิน แร่ธาตุ Oligoscan Test "คุณจีน่า The Face" เลือกดูแลสุขภาพเชิงลึก หลังจากลองมาหลายวิธีในการจัดการสิว สิวผด สิวที่คาง ซึ่งเกิดจากอาหารที่ชอบรับประทาน จำพวกขนมปัง แป้ง🍞เป็นประจำ และทานผัก ผลไม้ แต่ไม่หลากหลาย หลังการตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง 216 รายการ คุณหมอแนะนำให้ปรับลดการรับประทานอาหารประเภทต่าง ๆ ตามระดับความแพ้มาก-น้อย เพื่อปรับ Lifestyle การรับประทาน แบ่งออกเป็น 3 สี 3 ระดับ 🔴 แพ้สูง จำพวก แป้ง ยีสต์ นม ควรงด อย่างน้อย 3 เดือน 🟡 แพ้กลาง จำพวกชีส เนื้อหมู เนื้อวัว ควรงด 1-2 เดือน 🟢 ไม่แพ้ จำพวกผลไม้สีเขียว รับประทานอาหารกลุ่มนี้ได้ เพื่อลดการกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และทำ Food Rotation เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหารที่สำคัญ ปิดท้ายด้วยผลตรวจ "Oligoscan Test" เทคโนโลยีจากประเทศฝรั่งเศส เพื่อวัดระดับโลหะหนักและวิตามินแร่ธาตุในร่างกาย ในระดับเนื้อเยื่อ ✋🏻 ตรวจเพียงจุด 4 จุดบนฝ่ามือ ⏱️ ใช้เวลาเพียง 10 นาที รู้ผลเร็วและแม่นยํา ยิ่งใช้ร่างกายหนัก ยิ่งเสี่ยงร่างกายขาดขาดวิตามินแร่ธาตุที่จําเป็น ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องพลังงานและการ Recovery ร่างกาย คุณหมอแนะนำให้เสริมวิตามินที่เน้นสร้างพลังงาน ดูแลบำรุงผิว แร่ธาตุที่ช่วยลดสิว และช่วยดีท็อกซ์ตับ และสารตกค้างในร่างกาย ส่วนสารพิษโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย จะต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เพื่อลดการสะสม แต่การขจัดออกนั้นต้องอาศัย IV DRIP Chelation ที่มีสาร EDTA ดึงโลหะหนัก ขับออกทางปัสสาวะ ตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง คืออะไร การตรวจระดับวิตามินและสารอาหาร ผิวขาดสารอาหาร วิตามินแร่ธาตุเป็นอย่างไร? ______ อยากดูแลสุขภาพเชิงลึก แก้ไขอาการหรือโรคเรื้อรังแบบคุณจีน่า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Thrive Wellness Clinic ไธรฟ์ คลินิก โครงการ The Crystal เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เฟส 1 ชั้น 2 โทร. 0959349640 Line @thrivewellnessth https://lin.ee/otmhxq8 เปิดทุกวัน 10:00-19:30

  • ผื่นลมพิษ ผื่นแดงที่แก้ไม่หายขาด เป็นทุกทีที่อากาศเปลี่ยน แก้ไขได้อย่างไร

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ … ผื่นลมพิษ คืออะไร ผื่นคันแบบไหน ถึงเรียกผื่นลมพิษ สารกระตุ้นก่อผื่นลมพิษ และทำภูมิคุ้มกันบกพร่องมีอะไรบ้าง ทำอย่างไรเมื่อเกิดผื่นลมพิษขึ้น วิธีรักษาเมื่อเป็นผื่นลมพิษ การดูแลผื่นลมพิษ ผ่านการตรวจหาสาเหตุของผื่นลมพิษ เพื่อการดูแลเชิงป้องกัน อาการผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอันตรายหรือไม่ หลีกเลี่ยงอาการผื่นลมพิษนี้ได้อย่างไรบ้าง ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก ชวนสร้างความเข้าใจถึงผื่นคันที่เกิดขึ้น ผื่นลมพิษ คืออะไร ผื่นลมพิษ (URTICARIA) เกิดขึ้นจากลมพิษที่แสดงอาการ สามารถพบได้บ่อยโดยมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เป็นอาการแสดงทางผิวหนังมีลักษณะ ผื่น นูนแดง คัน และอาจมีอาการบวมบริเวณเยื่อบุเช่น ตาบวม ปากบวม ในบางราย หรืออาจมีเพียงอาการบวมโดยไม่มีลมพิษ แต่พบได้ไม่บ่อย ผื่นลมพิษ มักเกิดผื่นแดงขึ้นและยุบลงไม่เกิน 24-28 ชั่วโมง หลังจากนั้นอาจมีโอกาสกลับมามีผื่นขึ้นใหม่อีกสลับ เป็นๆ หายๆ หากเกิดขึ้นไม่เกินระยะ 6 สัปดาห์ เรียกว่า ผื่นลมพิษเฉียบพลัน (Acute Urticaria) แต่หากเกิดนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป เรียกว่า ผื่นลมพิษเรื้อรัง (Chronic Urticaria) ผื่นคันแบบไหน ถึงเรียกผื่นลมพิษ ลักษณะของผื่นลมพิษจะเป็นผื่น ปื้นนูนแดง มีอาการคัน ไม่มีขุย เกิดขึ้นได้ทุกส่วนตามร่างกาย แต่พบมากช่วงแขน ขา และใบหน้า มักเกิดและค่อยๆ หายไปใน 24 ชั่วโมง แต่ก็อาจเกิดผื่นแดงขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น บริเวณรอยเสื้อใน หรือรอยกดทับ หรือกรณีที่เป็นมาก อาจจะกระจายทั่วร่างกายได้ สาเหตุของผื่นลมพิษเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปฏิกิริยาต่อยา, อาหาร, การติดเชื้อ, สิ่งกระตุ้นทางกายภาพ (physical) เช่น แสง ความร้อน ความเย็น หรือการกดทับของร่างกาย การเสียดสี หรือโรคในระบบอื่นๆ ของร่างกายของส่งผล แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักตรวจไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด และอีกปัจจัยที่สำคัญให้เกิดผื่นลมพิษง่ายขึ้น คือ ร่างกายไม่แข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันลดลง จึงทำให้เมื่อเกิดถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ร่างกายจึงไวต่อการเกิดปฏิกิริยาผื่นลมพิษได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อยเกิดได้จาก Lifestyle หรือการจัดจังหวะชีวิตที่ไม่สมดุล เช่น การพักผ่อนน้อย ทำงานหนัก มีภาวะความเครียดสูง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ร่างกายหนัก การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ได้รับสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง (weak) ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อต่างๆ สารกระตุ้นก่อผื่นลมพิษ และทำภูมิคุ้มกันบกพร่องมีอะไรบ้าง 1. Cold urticaria ลมพิษที่เกิดจากความเย็น เช่น อากาศเย็น น้ำเย็น ลมเย็น เมื่อผิวหนังเริ่มอุ่นจะเกิดบวมเฉพาะที่ 2. Delayed pressure urticaria ลมพิษที่เกิดจากการกดทับเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มักเกิดจากการกดทับในแนวดิ่ง เช่น บริเวณสะโพกเมื่อนั่งนานๆ บริเวณเท้า เมื่อยืนหรือเดินเป็นเวลานาน เกิดผื่น บวมนูนภายในเวลา ประมาณ 3-12 ชั่วโมง หลังถูกกระตุ้น มักไม่มีอาการคันมากนัก แต่อาจมีไข้ ปวดเมื่อย ร่วมด้วย 3. Heat urticaria หรือ Cholinergic urticaria ลมพิษที่เกิดจากความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เกิดตุ่มนูน ล้อมรอบด้วยผื่นแดง มักเกิดที่คอและลำตัว เช่น ก่อนหรือหลังออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ด ร้อน ความเครียด ดีขึ้นและอาจหายไปในเวลา 30-60 นาที 4. Solar urticaria ลมพิษที่เกิดจากแสงแดด UVA UVB แสงอัลตร้าไวโอเลต หรือแสงที่มองเห็นได้ หลังจากที่สัมผัสจะทำให้เกิดผื่นขึ้นทันทีหรือภายใน 1 ชั่วโมง พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุไม่มาก 5. Symptomatic dermographism ลมพิษที่ขึ้นตามรอยขีดข่วน ทำให้เกิดอาการคัน ผื่นนูนแดง เช่นจากการยืน ใส่เสื้อผ้ารัด แน่น เกิดอาการภายใน 1-5 นาทีหลังถูกกระตุ้น และหากยิ่งเกาก็จะยิ่งคันเพิ่มมากขึ้น 6. Vibratory angioedema ลมพิษจากแรงสั่นสะเทือน เช่น เครื่องขุด เจาะถนน (pneumatic hammer) จะทำให้เกิดรอยโรคภายใน 1-2 ชั่วโมง 7. Aquagenic urticaria ลมพิษที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสน้ำ เกิดผื่นแพ้ภายในไม่กี่นาที มีลักษณะตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก 8. Contact urticaria ลมพิษที่เกิดจากการสัมผัสกับสารกระตุ้น เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน Immunologic ที่ทำให้เซลล์ผิวหนังถูกสัมผัสและหลั่งสารออกมาเกิดเป็นผื่นลมพิษ เช่น ยาทาเฉพาะที่ เครื่องสำอาง ยางธรรมชาติ บุ้ง หมามุ่ย ไปจนถึงสารเคมีบางชนิด อย่าง Sorbic Acid, Benzoic acid, cinnamic aldehyde เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผื่นลมพิษส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น แม้จะซักประวัติตรวจร่างกายโดยละเอียด และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว ก็มักตรวจไม่พบสาเหตุอย่างแน่ชัด จึงแนะนำให้สำรวจและสังเกต ตัวเอง ในผู้ที่เป็นผื่นลมพิษ ว่าปัจจัยกระตุ้นการแพ้คืออะไร และพยายามหลีกเลี่ยง งดเว้น และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เพื่อลดความรุนแรงหากมีอาการผื่นแพ้ ทำอย่างไรเมื่อเกิดผื่นลมพิษขึ้น หาสาเหตุหลังจากเกิดผื่นลมพิษ ว่ามีปัจจัยใดที่ส่งผลให้กลไกร่างกายหลั่ง ฮีสตามีน ออกมาจนทำให้เกิดผื่น อักเสบ และหลีกเลี่ยงทันที หากเกิดผื่น คัน ให้อาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น หรือทาแป้งเย็นที่มีส่วนผสมของ menthol เพื่อลดอาการคัน และระวังอย่าใช้มากจนเกิดไปอาจทำให้เกิดผิวแห้งและคันเพิ่มขึ้น (งดใช้วิธีนี้ในผู้ที่เกิดผื่นลมพิษจากวามเย็น) รับประทานยาแก้แพ้ (ยาต้านฮีสตามีน) เช่น Hydroxyzine, Diphenhydramine, Loratadine, Cetirizine หากคันใช้ยาทาแก้คัน คาลาไมน์ ควบคู่ไปได้ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ยาทุกกรณี ไม่แกะ เกา ขีดข่วนผิวหนังเพิ่ม เพราะยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวหนัง ปรึกษาแพทย์ทันทีหากอาการไม่ดีขึ้นใน 24 ชั่วโมง วิธีรักษาเมื่อเป็นผื่นลมพิษ พักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายเกิดกระบวนการฟื้นฟูและซ่อมแซมในช่วงการนอนหลับ รับประทานอาหารให้หลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และรับประทานให้ตรงเวลา เสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น Vitamin C, Zinc, Magnesium, Copper เป็นประจำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ ที่มีอนุมูลอิสระทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นที่ก่อให้เกิดผื่นลมพิษ ทั้งจากอาหาร การสูดดม และการสัมผัส ด้วยการสังเกตตัวเองเสมอ หลีกเลี่ยงการเกาหรือ แกะบริเวณที่เป็นลมพิษเพราะอาจทำให้ผื่นลามใหญ่ขึ้น หรืออักเสบมากขึ้น หากเป็นผื่นลมพิษเรื้อรังต่อเนื่องไม่ดีขึ้น ควรพิจารณาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและปัจจัยร่วม หากมีอาการที่เยื่อบุส่วนต่างๆ ร่วมด้วย เช่น เยื่อบุตา ทำให้คัน ตาบวม หรือตาอักเสบ เยื่อบุลำไส้ ทำให้ท้องเสีย เยื่อผุโพรงจมูก ทำให้มีน้ำมูก จาม หรือหายใจลำบาก หอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์ เพราะหากมีการแพ้เฉียบพลันแบบรุนแรง อาจอันตรายเกิดโรคร้ายแรง การดูแลผื่นลมพิษ ผ่านการตรวจหาสาเหตุของผื่นลมพิษ เพื่อการดูแลเชิงป้องกัน 1. การตรวจหาสาเหตุของภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (IgE) ตรวจสารกระตุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ อาหาร และสิ่งแวดล้อมที่มาจากการสัมผัสหรือสูดดม บ่งบอกระดับความรุนแรงของการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด ตรวจได้มากถึง 107 รายการ ตรวจภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน IgE คืออะไร 2. การตรวจหาระดับวิตามินและแร่ธาตุ เพื่อให้ทราบถึงระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายอาจบกพร่อง คือ การตรวจระดับ Vitamin and Micronutrients ผ่านการตรวจเลือด และการตรวจเชิงลึกถึงระดับเนื้อเยื่อ ด้วยเครื่อง Oligoscan ที่สามารถบอกระดับสารพิษโลหะหนัก ระดับวิตามินและแร่ธาตุ ที่สะสมหรือตกค้างภายในร่างกายได้ วิธีการตรวจนี้ง่าย ไม่เจ็บตัว ใช้เวลาตรวจเพียงไม่กี่นาที และแพทย์สามารถนำผลไปวิเคราะห์การรักษาได้อย่างแม่นยำ 3. เสริมสร้างร่างกายด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น อย่างรวดเร็วผ่าน IV Drip Vitamin โดยแนะนำสูตรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระระดับสูงเพื่อช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน ลดอาการแพ้ ลดอาการผื่น ช่วยขจัดสารพิษ ทำให้อาการผื่นแพ้และภูมิแพ้หายเร็วขึ้น แนะนำสูตร IV Drip Vitamin 🔰IV DRIP MEGA DOSE VIT C เสริมพลังโดสเข้มข้นด้วย Vitamin C บูสท์เสริมภูมิคุ้มกันขั้นสุด พร้อมเสริมสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นฟื้นฟูผิวพร้อมรับทุกกิจกรรม บํารุงผิวสดใส เปล่งปลั่ง เรียบลื่น ช่วยกระบวนการทําลายเชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ❇️ ราคา 7,500.-/ครั้ง 🔰IV DRIP IMMUNE UPGRADE สูตรที่มี Vitamin C เข้มข้นและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เหมาะกับผู้เป็นหวัดบ่อย แพ้อากาศหรือภูมิแพ้ ❇️ ราคา 3,800.-/ครั้ง 🔰IV DRIP ALLERGY DEFENDER สูตรเพิ่มภูมิคุ้มกัน ไข้หวัด และป้องกันภูมิแพ้ ❇️ ราคา 2,990.-/ครั้ง โดยรวม อาการผื่นแพ้ เป็นอาการที่สะท้อนว่าร่างกายคุณกำลังอ่อนแอ และ Lifestyle ที่ไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ ยา เคมีภัณฑ์ ฝุ่นควัน กระตุ้นให้ร่างกายอักเสบ และเป็นผื่นแพ้ภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น อย่าลืมหันกลับมาดูแลตัวเองก่อนจะแพ้เกินแก้นะคะ Reference https://www.rama.mahidol.ac.th/med/sites/default/files/public/pdf/medicinebook1/URTICARIA.pdf https://www.allergy.or.th/2016/pdf/Thai_CPG_Urticaria_2557.pdf งูสวัด โรคที่แฝงจากภูมิตก แชร์ 3 ทริค! สร้างภูมิคุ้มกัน ดริปวิตามินคืออะไร

  • ปัญหาสิวประจำเดือน เกิดขึ้นได้อย่างไร? พร้อมวิธีแก้ที่ไม่กลับเป็นสิวซ้ำ

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ … ทำไมสิวถึงเห่อ เวลามีประจำเดือน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถึงเป็นสิวประจำเดือน สังเกต! สิวประจำเดือนเป็นอย่างไร ดูแลผิวอย่างไร ห่างไกลสิวประจำเดือน ดูแลผิวอย่างดี แต่ทำไมยังเกิดสิวประจำเดือน สิวที่เกิดเรื้อรังน่ากังวล เพราะอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายเตือน ทำไมเป็นประจำเดือน สิวเสี้ยน สิวอุดตัน สิวอักเสบ เห่อหนักเต็มหน้า ยิ่งช่วงบริเวณ T-zone คาง กราม รอบปาก เกิดซ้ำเรื้อรัง เป็นปัญหาผิวพัง สร้างความรำคาญใจประจำทุกเดือน สาเหตุเหล่านี้เกิดจากอะไรได้บ้าง ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก พาหาสาเหตุต้นตอปัญหาสิว อยากสลัดให้หลุดต้องทำอย่างไร? ทำไมสิวถึงเห่อ เวลามีประจำเดือน เพราะช่วงมีประจําเดือนจะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง สิวประจำเดือน จึงเรียกได้อีกอย่างว่า สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) ความไม่สมดุลของการหลั่งฮอร์โมน ส่งผลให้กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน เกิดน้ำมันบนผิวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า ซีบัม (Sebum) ส่งผลให้แบคทีเรียเพิ่มขึ้นไปด้วย ฮอร์โมนยังส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงของรูขุมขนให้ขยายเปิดกว้างขึ้น เมื่อเซลล์ผิวที่ตายแล้ว บวกกับไขมันส่วนเกินและแบคทีเรียที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จึงทำให้ง่ายต่อการอุดตันในรูขุมขนละกลายเป็นสิวในที่สุด ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถึงเป็นสิวประจำเดือน ผู้หญิงในกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่กว่า 85% มักเป็นสิวหนักช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือนค่ะ ซึ่งกินเวลาไปแล้วกว่าครึ่งเดือน เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ค่ะ ช่วงก่อนเป็นประจำเดือน 1 สัปดาห์ ฮอร์โมน Estrogen และ ฮอร์โมน Progesterone จะลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้เยื่อบุมดลูกหลุดลอกเป็นประจำเดือนออกมา ระยะนี้เองที่ทำให้ผิวอ่อนแอ รูขุมขนอักเสบ บวม ไวต่อการถูกกระตุ้น เมื่อเข้าสู่ช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมน Estrogen ที่ส่งผลให้ผิวคุณเรียบเนียน สวย จะผลิตต่ำลง ในขณะที่ฮอร์โมน Progesterone และ Testosterone เพิ่มสูงขึ้น ระยะนี้จะทำให้ผลิตซีบัมออกมามากขึ้น ระดับของ Progesterone ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผิวเกิดอาการบวม การอุดตันที่รูขุมขน ส่วน Testosterone ก็ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วเกาะที่ผิว จึงเกิดการสะสม จนกลายเป็นสิวอุดตันได้ง่าย ยิ่งเมื่อมีแบคทีเรีย P.Acne ที่คอยเก็บกินซากไขมันเป็นอาหารและย่อยออกมาเป็นกรด ทําให้รูขุมขนอักเสบและเกิดสิวอักเสบรักษาได้ยาก หลังหมดประจำเดือน จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมน Estrogen หลั่งสูง ช่วงนี้จะเหมาะสมแก่การดูแลและฟื้นฟูผิว เพราะซึมซาบสารบำรุงผิวได้ดี สังเกต! สิวประจำเดือนเป็นอย่างไร 1. สิวอุดตัน (Comedones) คือ สิวที่มีตุ่มนูน เม็ดเล็กๆ แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ สิวอุดตันไม่มีหัว เกิดจากต่อมไขมันที่ผลิตใต้ผิวหนังเกิดฮอร์โมนถูกกระตุ้น จนเกิดการอุดตันในรูขุมขน สิวอุดตันหัวปิด หรือสิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย เกิดจากต่อมไขมันที่อุดตันสะสมในรูขุมขน สิวอุดตันหัวดำ มีลักษณะตุ่มนูน หัวสีดำอยู่ตรงกลาง เกิดจากการผลัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เกิดสะสมอุดตันในรูขุมขน 2. สิวอักเสบ (Inflammatory acne) สิวตุ่มนูนแดง (Papule) ขนาดเล็ก ไม่มีหนอง สิวหัวหนอง (Pustule) มีสีแดง ที่หัวมีหนอง สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) ตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นก้อน ไม่มีหัวสิวและหนองและไม่สามารถบีบได้ เพราะเกิดในชั้นใต้ผิวที่ค่อนข้างลึก ดูแลผิวอย่างไร ห่างไกลสิวประจำเดือน ช่วงมีประจำเดือนจะเป็นช่วงที่ผิวค่อนข้างอ่อนแอ และแพ้ง่าย เมื่อปัจจัยทางฮอร์โมนที่ไม่สมดุลแล้วยังเกิดได้จากปัจจัยแวดล้อมกระตุ้นให้สิวเกิดง่ายขึ้น มาดูแลผิวตามขั้นตอนดังนี้ ที่สามารถทำได้เป็นประจำกันค่ะ พักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูขณะนอนหลับ ร่างกายไม่สร้างฮอร์โมนความเครียด ลดการกระตุ้นให้เกิดสิว และสร้างสมดุลฮอร์โมน ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 2.7 ลิตร/วัน ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายรักษาสมดุล ขับเหงื่อหรือสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขนได้ดี ช่วยในเรื่องการขับถ่าย ขจัดสารพิษ ลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ รา ตกค้างในลำไส้ ที่เป็นตัวการของสิว และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำตาล แป้ง โปรตีน ไขมัน เพราะจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอนุมูลอิสระ เร่งการเกิดสิวต่อผิวมากขึ้น และทำให้ร่างกายอักเสบ ออกกำลังกายเบาๆ เช่น คาร์ดิโอ โยคะ จ๊อกกิ้ง เดินเร็ว อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนแห่งความสุข คลายความเครียด งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีความเข้มข้น เหนียวเหนอะหนะในช่วงที่เป็นประจำเดือน เพราะเป็นช่วงที่รูขุมนเปิดกว้าง ง่ายต่อการอุดตันในรูขุมขน ดูแลผิวอย่างดี แต่ทำไมยังเกิดสิวประจำเดือน สาวๆ หลายคนอาจเจอปัญหานี้บ่อยๆ เมื่อดูแลผิวหน้าอย่างเดียว พร้อมสกินแคร์บำรุงเป็น 10 ตัว แต่การรักษาสมดุลหรือสร้างเกราะป้องกันชั้นผิวก็ยังไม่แข็งแรงมากพอ ทำให้เกิดอาการสิวเห่อเป็นประจำ ปัญหานี้อาจแก้แค่การดูแลผิวไม่พอ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปว่าปัจจัยแวดล้อมของสิวเกิดจากหลายสาเหตุ ดูแลปัญหาสิวตั้งแต่ต้นตอถึงระบบภายในร่างกายที่ส่งผลผ่านการตรวจ Acne Solution Clear Skin Package ที่ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก พร้อมรับคำปรึกษา วิเคราะห์ปัญหาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ราคา 24,500.- สิวที่เกิดเรื้อรังน่ากังวล เพราะอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายเตือน การตรวจเชิงลึกผ่าน Acne Solution Clear Skin Package เพื่อแก้ไขปัญหาสิวที่ต้นตอของปัญหาผิวคุณ เพราะสาเหตุของสิวเรื้อรังที่แก้ไม่หาย อาจเกิดได้จาก ฮอร์โมนเพศชายสูง ผิดปกติ จนขาดความสมดุล อาจเสี่ยง PCOS : รังไข่มีซีสต์ และการหลั่งของฮอร์โมน DHEAs ที่เป็นฮอร์โมนเพศชาย กระตุ้นให้สิวเกิดง่ายขึ้น กระบวนการย่อยอาหารมีปัญหา เช่น เมื่อรับประทานอาหารที่เป็นสารพิษ รสจัด แพ้อาหาร เป็นประจำ อาจเกิดลำไส้รั่วดูดซึมแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อร่างกายได้รับจึงพยายามขับสารพิษออกผ่านทางรูขุมขน จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ที่เนื่องมาจากขาดวิตามินที่จำเป็น หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ รายการตรวจ Acne Solution Clear Skin Package Urine Organic Acid Test : การตรวจกรดอินทรีย์ในปัสสาวะ รวม 60 รายการ เพื่อตรวจดูระบบลำไส้ การย่อย การดูดซึมอาหาร และการ Detox ของเสียที่สะสมในร่างกาย รวมถึงสมดุลของแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ Hormone : ตรวจระดับฮอร์โมน 6 รายการ ผ่านระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ฮอรืโมนความเครียด (Hormone Cortisol) ฮอร์โมนตั้งต้นของร่างกาย (DHEAs) ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ฮอร์ดมนเพศหญิง (Estradiol,Progesterone) Vitamin & Minerals : ตรวจระดับวิตามินในร่างกาย 2 รายการ ผ่าน Zinc Vitamin D3 ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยลดสารต้านอนุมูลอิสระ Inflammation : ระดับการอักเสบ 3 รายการ ผ่าน hs-CRP การอักเสบในร่างกายเพื่อดูระบบไหลเวียนของเลือด, Homocysteine ระดับการอักเสบในหลอดเลือด, ESR ค่าการอักเสบของร่างกาย Reference https://www.larocheposay-th.com/articles/hormonal-acne https://allaboutyou.co.th/th/module/blog/blogarticledescription?article_id=51&name=%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7+VS+%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99 https://www.bioderma.co.th/skin-articles/period-acne.html https://skinx.app/content/acne/hormonal-acne https://www.wongnai.com/beauty-tips/hormonal-acne-treatments?fbclid=IwAR1jLWlXynZUtOQF8EkEzXahG1IXEWnpaVDfoT8-FFwlHiYB63mwIvnW8Sw&af_force_deeplink=true&pid=WN_Organic&is_retargeting=true&af_click_lookback=1d&af_adset=TRAFFIC--Beauty--WN_Organic--FBBeauty--beauty-tips&af_ad=TRAFFIC--Beauty--WN_Organic--FBBeauty--Multi--beauty-tips--Re_Album_inflammatory%20acne&deep_link_value=beauty-tips%2Fhormonal-acne-treatments%3Ffbclid%3DIwAR1jLWlXynZUtOQF8EkEzXahG1IXEWnpaVDfoT8-FFwlHiYB63mwIvnW8Sw&af_channel=FBBeauty&c=TRAFFIC--Beauty--WN_Organic--FBBeauty Acne Solution Clear Skin Package ความสำคัญของฮอร์โมนเพศหญิง ฮอร์โมนความสุข คืออะไร

  • งูสวัด โรคที่อาจแฝงอยู่และเป็นได้ไม่รู้ตัว

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ ... โรคงูสวัด คืออะไร? เคยเป็นอีสุกอีใส จะเสี่ยงเป็นงูสวัด จริงหรือไม่? เช็ก! อาการโรคงูสวัด โรคงูสวัด อันตรายไหม งูสวัดพันรอบตัวแล้วถึงตายหรือเปล่า? โรคงูสวัด ป้องกันและรักษาได้ กำลังรู้สึกแสบร้อนที่ผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเปล่า? หรือเกิดผื่นแดงเป็นปื้นที่ผิว ร่วมกับมีตุ่มน้ำใส เรียงกันเป็นกลุ่มและรู้สึกแสบร้อน อาการที่มาพร้อมกับปวดตามตัว 2-3 วันก่อนหน้า อาจเป็น ‘โรคงูสวัด’ โดยไม่ทันตั้งตัว โรคงูสวัด นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ดูแลตนเองเบื้องต้นอย่างไรบ้าง เป็นแล้วหายขาดได้ไหม ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก ชวนเรียนรู้สาเหตุอีกหนึ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัส โรคงูสวัด คืออะไร? โรคงูสวัด (Herpes zoster) คือ โรคทางผิวหนัง มีอาการคัน ผื่นแดง เป็นตุ่มใส ปวดแสบปวดร้อน เพราะเกิดจากการรับเชื้อไวรัส Varicella Zoster (VZV) ที่แฝงอยู่ตามแนวเส้นประสาท มักไม่แสดงอาการทันทีแต่เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง ก็จะเกิดการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนทำให้เส้นประสาทอักเสบ มักเป็นบริเวณรอบเอว แนวชายโครง แขน ขา ใบหน้า ที่มีเส้นประสาทอยู่ เคยเป็นอีสุกอีใส จะเสี่ยงเป็นงูสวัด จริงหรือไม่? งูสวัด สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน เพราะมีเชื้อไวรัสตัวเดิมแฝงอยู่แล้วภายในร่างกาย คือเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ หรือ เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรค HIV โรค SLE จึงมักมีอาการแทรกซ้อนของงูสวัดได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ในผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสก็ต้องระวัง เพราะสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสตุ่มพองของโรคได้ หากร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำก็อาจเสี่ยงเกิดเป็นโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัดนี้ได้ทันที เช็ก! อาการโรคงูสวัด มีอาการปวดตามตัว เกิดผื่นแดงโดยไม่ทราบสาเหตุ ประมาณ 2-3 วัน อาจมีไข้ หรือไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ เกิดปวดแสบปวดร้อน มีตุ่มใสเรียงกันเป็นกลุ่มเป็นแนวยาว ตามแขน ขา รอบเอว ใบหน้า และแตกออกเป็นแผลจนตกสะเก็ด โรคงูสวัด อันตรายไหม งูสวัดพันรอบตัวแล้วถึงตายหรือเปล่า? โรคงูสวัด ไม่อันตรายร้ายแรงและส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วสามารถหายเองได้ แต่อาจมีเอฟเฟกต์หลังจากหาย คือมีอาการปวดตามเส้นประสาทที่อาจเกิดนานเป็นเดือน หรือเป็นปี ดังนั้นหากเกิดงูสวัดขึ้นรอบตัวจึงไม่เสียชีวิต แต่หากมีอาการป่วยร่วมกับภูมิต้านทานต่ำมากอาจต้องระวัง โรคงูสวัด ป้องกันและรักษาได้ ปัจจุบัน ผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป สามารถฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัดได้ โดยจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคงูสวัด หรือหากติดเชื้อก็สามารถลดความรุนแรงของอาการ รวมถึงอาการปวดเส้นประสาทหลังการติดเชื้อได้ แนะนำเสริมภูมิคุ้มกัน ด้วยวิตามินและแร่ธาตุ จากผักผลไม้ที่อุดมไปด้วย Vitamin C, Vitamin B, Vitamin D, Zinc ที่มีส่วนช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาว ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย หากมีอาการอักเสบหรือปวดตามเส้นประสาทบริเวณหลัง บ่า ไหล่ หรือส่วนอื่นๆ แนะนำ Detox สารพิษที่อาจเกิดจากการตกค้างของเชื้อไวรัสภายในร่างกาย คุณหมอแนะนำสาร Glutathione ที่ดีต่อการช่วยเสริมประสิทธิภาพของตับ ขับสารพิษ เชื้อไวรัสออกจากร่างกาย หรือจากกรดไขมันอัลฟาไลโปอิก (Alpha-Lipoic Acid) หรือ ALA ที่ดีต่อการช่วยลดอาการอักเสบ แก้ปวดเมื่อย ช่วยอาการหมอนรองกระดูก เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และยังสนับสนุนการทำงานของ Glutathione, Vitamin C, Vitamin E, CoQ10 ให้เซลล์ดึงไปใช้งานในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณหมอแนะนำรักษาด้วยวิธีการ IV Drip ลักษณะคล้ายการให้น้ำเกลือ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุโดยตรงผ่านทางหลอดเลือดดำ ทำให้ร่างกายดูดซึม ดึงสารอาหารไปใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างมีปะสิทธิภาพ ประโยชน์ของ Glutathione ALA คืออะไร รู้ได้อย่างไร ภูมิคุ้มกันตก!

  • ทางเลือกการดีท็อกซ์ ที่ไม่จำเป็นต้องสวนล้างให้น่ากลัว

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ ... การดีท็อกซ์ คืออะไร ทำไมต้องดีท็อกซ์ แม้ระบบขับถ่ายดี แต่อาหารที่ย่อยยากมักส่งผลต่อสิ่งตกค้างขจัดยากในลำไส้ การดีท็อกซ์ ดีต่อท้องผูก ดีท็อกซ์ตัวช่วยลำไส้ ดีอย่างไรบ้าง การทำดีท็อกซ์ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ไม่จำเป็นต้องสวนล้างลำไส้ ก็สามารถดีท็อกซ์ลำไส้ได้ ปัญหาถ่ายไม่ออก ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลามักวนเวียนและกวนใจอยู่เป็นประจำ การหาทานยาระบายก็ไม่เป็นผล ลองทางเลือกของการดีท็อกซ์ลำไส้ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ให้สมดุลและลดปัญหาผิวได้ด้วยค่ะ การดีท็อกซ์ คืออะไร ดีท็อกซ์ หรือ Detox มาจากคำเต็มว่า Detoxification ที่หมายถึงการล้างสารพิษ จึงได้นำคำนี้มาใช้เรียกวิธีการกำจัดสารพิษ สารตกค้างภายในร่างกาย วิธีการที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดสิ่งตกค้างนี้ออกไปให้หมดได้ ต้องบอกก่อนว่าโดยปกติแล้วร่างกายมีการกำจัดสารพิษเป็นปกติอยู่แล้วค่ะ อย่างเช่น การขับของเสียออกผ่านทางปัสสาวะ การขับถ่าย หรือการหลั่งของเสียผ่านทางเหงื่อเป็นต้น แต่วิธีการ Detox ที่เข้ามาช่วยเสริมกระบวนการนี้จะยิ่งช่วยขจัดสิ่งตกค้างที่เกิดการเกาะบนผนังลำไส้ เกิดการกีดขวางต่อการขับเคลื่อนของเสียผ่านทางขับถ่าย ที่วิธีการปกติของร่างกายไม่สามารถทำได้ดีนัก ทำไมต้องดีท็อกซ์ เพราะวิธีการกำจัดสารพิษในร่างกายจะทำได้ดีก็ต่อเมื่อคุณฝึกระบบการขับถ่ายอย่างตรงเวลา รับประทานอาหารที่สนับสนุนการทำงานของลำไส้ ดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอ และปัจจัยอีกมากมายที่ให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นระบบ แต่ในร่างกายของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน วิธีการบางอย่างจึงไม่สามารถช่วยได้ 2-3 วันถึงถ่ายหนัก หรือรับประทานผักก็เกิดอาการแพ้วิธีการ Detox จึงเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่เข้ามาช่วยส่งเสริมสุขภาพในจุดนี้ แม้ขับถ่ายดี แต่อาหารที่ย่อยยากก็ส่งผลต่อสิ่งตกค้างที่ยากจะขจัด สิ่งตกค้างจากอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล เนื้อสัตว์ ไขมัน เมื่อถูกย่อยจะยังคงหลงเหลือกากอาหารที่การขับถ่ายปกติไม่สามารถขับออกได้ หากเล็กน้อยจะไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อถูกสะสมไปนานๆ เข้า จะเปลี่ยนสภาพให้มีความเหนียว เกาะเป็นตะกรันบนผนังของลำไส้ใหญ่ ทำให้ผนังลำไส้ไม่สามารถขับสารหล่อลื่นออกมาเพื่อให้การขับถ่ายสะดวกได้ เกิดการคั่งค้าง เคลื่อนตัวยาก ปิดกั้นการดูดซึมอาหารและสะสมของเสียไว้ภายในตลอดเวลา การดีท็อกซ์ ดีต่อท้องผูก เมื่อกระบวนการของการขับของเสียเคลื่อนตัวยาก ส่งผลให้เกิดการสะสมไว้ภายในร่างกายนาน เมื่อเกิดการย่อยอาหารล็อตใหม่เกิดขึ้น ปัญหาทางลำไส้นี้ก็จะเกิดวนซ้ำ ทำให้อาการท้องผูกเริ่มถามหา หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี อาการท้องผูกก็จะยิ่งรุนแรง ส่งผลต่อโรคมะเร็งลำไส้ ลำไส้แปรปรวน ปัญหาผิวพรรณ สิวเห่อหนัก ดีท็อกซ์ตัวช่วยลำไส้ ดีอย่างไรบ้าง แก้ปัญหาท้องผูก การทำดีท็อกซ์ช่วยให้ระบบร่างกายทำงานได้อย่างดีขึ้น เมื่อลำไส้ทำงานได้ดีการขับถ่ายก็จะไม่มีปัญหา ซึ่งนอกจากการรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยอาหารแล้ว การดริปวิตามินที่สามารถช่วยให้ร่างกายรับวิตามินได้อย่างเต็มที่ก็ช่วยให้ระบบลำไส้ฟื้นฟู และรักษาสมดุลจากวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นได้ ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก การทำดีท็อกซ์ช่วยส่งผลต่อการลดน้ำหนักแต่อาจเกิดในระยะสั้น เพราะการขับถ่ายของเสียออกมา ต้องควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีแร่ธาตุและวิตามินที่ดีด้วย บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน ท้องเสีย เพราะสนับสนุนให้ลำไส้ไม่เกิดสารตกค้าภายใน ช่วยรักษาสมดุลลำไส้ ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เพราะไมเกิดการตกคค้างของสารพิษเป็นเวลานาน ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพราะลำไส้มีการดูดซึมที่ดีขึ้น ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นเช่น วิตามินซี วิตามินบี วิตามินอี วิตามินดี ซิงค์ การทำดีท็อกซ์ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ การทำดีท็อกซ์ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ในผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร โรคผนังลำไส้อักเสบ โรคไต โรคหัวใจ หรือผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้มา ไม่ควรทำการดีท็อกซ์เพราะจะเกิดอันตรายมากกว่าประโยชน์ทางสุขภาพ ❇️ ตรวจสมดุลลำไส้จากกรดอินทรีย์ในปัสสาวะ Urine Organic Profile Test ครอบคลุมกว่า 60 รายการ เหมาะกับใคร ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบการเผาผลาญ ผู้ที่ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษได้ กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง หรือ Adrenal fatigue ผู้ที่น้ำหนักขึ้น ลง แบบไม่มีสาเหตุ ผู้ที่มีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร และการขับถ่ายเป็นประจำ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ป่วยง่าย หรือ ป่วยบ่อย ผู้ที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ รวมถึงอาการทางจิต ระบบประสาทต่างๆ IV Drip คืออะไร สมดุลลำไส้และการกำจัดสารพิษ ระบบภูมิคุ้มกัน Probiotics ทางออกของคนท้องเสียบ่อย

  • อย่าปล่อยเบลอ! ชาปลายนิ้วเล็กๆ แต่ทำเป็นโรคใหญ่ๆ ได้

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ ... ชาปลายนิ้ว เกิดจากอะไร? สำรวจพฤติกรรม ทำไมถึงชาปลายนิ้วบ่อยๆ อาการชาปลายนิ้วตรงนี้บอกอะไรถึงเส้นประสาท อาการมือชา ที่ไม่ควรนิ่งเฉยเพราะอาจเป็นโรคร้ายไม่รู้ตัว อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดวิตามิน เพราะอาจป่วยมากกว่าแค่ชาปลายนิ้วมือ แนะนำแพ็กเกจตรวจเพื่อสุขภาพ ป้องกันรักษาชาปลายนิ้ว ชาปลายนิ้วมือ รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต ยิ่งเวลาตื่นนอนมาอาการยิ่งเป็นหนัก จี๊ดๆ อาการแบบนี้เมื่อเป็นบ่อยๆ ไม่ได้รบกวนแค่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แต่ยังนำไปสู่โรคทางระบบประสาทอีกมากมายที่กำลังเตือนคุณอยู่ อาการชาปลายนิ้วไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงเส้นประสาทถูกกดทับเท่านั้น แต่การขาดวิตามินบี, โรคเบาหวาน, ไมเกรน, โรค HIV, การใช้ยาเคมีบำบัด ก็ยังส่งผลให้คุณเกิดอาการชาปลายนิ้วมือและเท้าได้ ชาปลายนิ้ว เกิดจากอะไร? ที่เรารู้สึกชาปลายนิ้วมือนั้นมีสาเหตุมาจากการที่เส้นเลือดในบริเวณนิ้วมือหรือส่วนของมือถูกกดทับ ซึ่งบริเวณมือของเรามีเส้นเลือดและระบบประสาทเล็กๆ จำนวนมาก ถูกกดทับบ่อยๆ ซ้ำๆ นานๆ ก็จะมีการส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อรับรู้ว่ากำลังได้รับการกระทบกระเทือนจนทำให้เกิดอาการชาปลายมือ แต่สาเหตุอาการชาปลายนิ้วไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงเส้นประสาทถูกกดทับจากกิจกรรมเท่านั้น แต่การขาดวิตามินบี, การเป็นโรคเบาหวาน, ไมเกรน, โรค HIV, ใช้ยาเคมีบำบัด, ก็ยังส่งผลให้คุณเกิดอาการชาปลายนิ้ว หรือปลายเท้าได้ สำรวจพฤติกรรม ทำไมถึงชาปลายนิ้วบ่อยๆ การเขียนหนังสือ การทำงานบ้าน เกิดอาการเกร็งนิ้ว หยิบจับเป็นเวลานาน พนักงานออฟฟิศ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ พิมพ์งาน คลิกเมาส์เป็นเวลานาน พ่อค้า แม่ค้า ที่หยิบจับมีด ทำอาหาร ทั้งวัน ชาวสวน เกษตรกร นักกีฬา ที่ใช้มือจับอุปกรณ์ เช่น นักเทนนิส นักแบดมินตัน ผู้ที่ขับรถเป็นระยะเวลานาน อาการชาปลายนิ้วตรงนี้บอกอะไรถึงเส้นประสาท 1. ชาปลายเท้าและปลายมือ เพราะขาดวิตามินบี เกิดจากการอักเสบของปลายประสาท เพราะขาดสารอาหาร อย่าง วิตามินบี 1, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12 หรือภาวะน้ำตาลสูง และยังสามารถเป็นสัญญาณเตือนอาการของโรคไต โรคมะเร็ง 2. ชาปลายนิ้วเกือบทุกนิ้ว ยกเว้นนิ้วก้อย เพราะเส้นเอ็นกดทับเส้นประสาท อาการเกิดจากการทำท่าที่ไม่เหมาะสมติดต่อกันเป็นเวลานาน มักเกิดขึ้นในตอนกลางคืนหรือหลังตื่นนอน เช่น ชูมือสูง ขี่มอเตอร์ไซค์ คุยโทรศัพท์ นอนทับแขนตัวเอง หรือใช้มือทำงานหนักในลักษณะเดิม จนเส้นเอ็นกดทับเส้นประสาาทตรงข้อมือ แต่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ควรเปลี่ยนท่าทางและลดการใช้งานมือข้างที่ช้าลง 3. ชาที่นิ้วก้อย นิ้วนาง และขอบด้านข้างของมือแต่ไม่เกินข้อมือ เพราะเส้นประสาทถูกกดทับเป็นเวลานาน ลักษณะการชาลักษณะนี้เพราะเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับตรงข้อศอก สามารถหายได้เมื่อสลับท่าทาง แต่หากมีอาการชาร่วมกับส่วนข้อมือมาจนถึงข้อศอก ที่มักมีอาการทับเส้นประสาทบริเวณกระดูกไหปลาร้า อาการนี้ควรพบแพทย์ทันทีนะคะ 4. ชาบริเวณหลังมือ ง่ามระหว่างนิ้วหัวแม่มื้อถึงนนิ้วชี้แต่ไม่เกินข้อมือ อาการที่เส้นประสาทถูกกดทับบริเวณต้นแขน ควรเลี่ยงการเอาแขนพาดพนักเก้าอี้ 5. ชาตั้งแต่แขนไปจนถึงนิ้วมือ อาการชาที่แขนลักษณะนี้น่าเป็นห่วง เพราาะอาจมีสาเหตุมาจจากกระดูกต้นคอเสื่อม และมีผลต่อการกดทับเส้นประสาท 6. ชาตามมือหรือนิ้วมือ ปวดแแสบปวดร้อน อากาารชาประเภทนี้มีสาเหตุมาจากกรดยูริกในร่างกายสูงกว่าปกติ มหรือโรคเกาต์นั่นเอง อาการมือชา ที่ไม่ควรนิ่งเฉยเพราะอาจเป็นโรคร้ายไม่รู้ตัว โรคกดทับเส้นประสาท จะมีอาการเส้นประสาทถูกกดทับหรืออุดตัน ทำให้เกิดอาการชาที่ปลายนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง โรคกระดูกคอทับเส้นประสาท เกิดจากเส้นประสาทบริเวณคอถูกกดทับจนอักเสบ โรคเรเนาด์ อาการชาที่เกิดจากหลอดเลือดแดงที่นิ้วมือหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่สามารถหล่อเลี้ยงนิ้วมือได้ ซึ่งอาจเกิดได้จากทั้งความเครียด ความเย็น โรคเบาหวาน จะมีอาการเส้นประสาทเสียหายบริเวณข้อมือและเท้าร่วมด้วย ทำให้มีอาการชาที่ปปลายนิ้วมือหรือนิ้วเท้า โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรค SLE โรคที่ทำให้เกิดอาการอักเสบบวม เจ็บปวดบบริเวณข้อต่อกระดูก ทำให้เกิดอาการชาเหมือนเข็มตำ หรือทำให้ปวดแสบปวดร้อนบริเวณมือและนิ้วมือ อาการชาปลายนิ้วยังเป็นภาวะที่บ่งบอกโรคได้อีกมากมายเพราะเกี่ยวเนื่องกับการที่เส้นประสาทถูกกดทับโดยตรง เช่น โรคพิษสุราเรื้อรัง, ซีสต์ที่ข้อมือ, กระดูกข้อมือแตกหัก, โรค GBS, โรคเรื้อน, ภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน, โรคไลม์ อาการมือชา ที่ไม่ควรนิ่งเฉย เพราะอาจเป็นโรคร้ายไม่รู้ตัว วิธีป้องกันอาการชาปลายนิ้ว พยายามขยับนิ้วและท่าทางบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นประสาทกดทับหรือเกิดพังผืดที่เส้นประสาท ปรับเปลี่ยนท่าทางการนอน นั่ง ยืน ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เมื่อมีอาการชาให้ขยับแขนขาบ่อยมากขึ้น หากมีอาการชานานๆ สามารถใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่มีอาการ เสริมวิตามินบีให้ร่างกายเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ร่างกายไม่บกพร่อง แหล่งอาหารวิตามินบี เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง รำข้าว ยีสต์ เครื่องในสัตว์ เนื้อหมู ปลา นม และผักใบเขียว อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดวิตามิน เพราะอาจป่วยมากกว่าแค่ชาปลายนิ้วมือ อาการชาปลายนิ้วมือนับได้ว่าเป็นสัญญาณการเกิดโรคที่ควรใส่ใจ เพื่อให้คุณรู้ว่าร่างกายเริ่มมีปัญหาในกลไกใดกลไกหนึ่ง ซึ่งเมื่อระบบเล็กๆ เกิดผิดพลาด ก็จะนำไปสู่ปัญหาของโรคที่ร้ายแรงได้ เพราะฉะนั้นจึงควรใส่ใจในการบริโภคอาหาร และสารอาหารที่ได้รับต่อวันอย่างครบถ้วน และหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาอาการป่วยได้อย่างทันท่วงที ไธรฟ์แนะนำแพ็กเกจตรวจเพื่อสุขภาพ ป้องกันรักษาชาปลายนิ้ว Vitamin and Micronutrient แพ็กเกจที่จะทำให้คุณได้ทราบถึงระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย เพื่อให้ทราบถึงภาวะของอาการชาปลายมือ ชาปลายเท้า หรือภาวะของโรคที่อาจเกิดจากการขาดความสมดุลของระดับวิตามิน เพราะการมีระดับแร่ธาตุและวิตามินที่สมดุล จะช่วยในการชะลอวัยและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้คุณไม่ป่วยง่าย เสริมสร้างระดับวิตามินและร่างกายด้วย IV Drip Vitamin IV Drip ที่ถูกคิดค้นโดยแพทย์ด้าน Anti-aging ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อเน้นการดูแลสุขภาพ ด้วย Vitamin, Minerals, Amino acid ที่มีสารต้านอนุมูลระดับสูง ช่วย Boost ระดับวิตามินและ Restore Vitamin Level ในร่างกายของคุณ Personalized Vitamins วิตามินเฉพาะบุคคล เมื่อได้รับการตรวจโดยคุณหมอแล้วถึงระดับวิตามินที่ไม่สมดุลแล้ว คุณจะได้รับการดูแลพร้อมวิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่เสริมวิตามินที่ออกแบบมาเพื่อสุขภาพคุโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้รับระดับวิตามินที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพื่อลดภาวะของโรคที่อาจเกิดขึ้น หากคุณรับวิตามินโดยไม่ได้รับการปรึกษา

  • รู้จักประเภทของผิว เพื่อสร้าง Skin Barrier อย่างถูกวิธี

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ ... รู้จักผิว ผิวผสม ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวบอบบาง ผิวแก่ก่อนวัย ฟื้นฟูผิวพังให้ปังถึงระดับเซลล์ ที่ปัญหาผิวแบบไหนก็ทำได้ด้วย IV Drip Vitamin ทุกครั้งที่ไปช็อปปิ้งซื้อครีมบำรุงผิวตัวใหม่ สังเกตไหมคะว่าจะมีการระบุถึงผลิตภัณฑ์ว่าควรใช้ในผู้ที่มีผิวประเภทนี้เท่านั้น เพื่อลดอาการแพ้ ผลข้างเคียง แต่ก็ยังสับสนกันอยู่หรือเปล่าคะว่า ว่าใบหน้าของเราเป็นผิวประเภทไหนกัน ไธรฟ์ จะพาไปทำความรู้จักกับประเภทของผิว พร้อมวิธีสังเกตและคำแนะนำที่เหมาะสม รู้จักผิว อยากมีผิวดี ผิวแข็งแรง สร้าง Skin Barrier ให้ผิวสวย ไม่แห้งแตก ไม่เป็นขุย สิวอักเสบ อันดับแรกต้องสำรวจผิวกันก่อนค่ะ ยิ่งรู้จักประเภทของผิวดีเท่าไหร่ก็จะยิ่งแก้ปัญหาใหญ่ๆ ให้กลายเป็นเรื่องผิวๆ การรู้จักผิวเป็นเรื่องจำเป็น เพราะปัจจุบันมี Skin care มากมาย การเลือกบำรุงผิวให้เหมาะสมกับประเภทผิว จะทำให้ผิวฟื้นฟูจากปัญหาและดูดซึมได้ดีนั่นเองค่ะ รู้จักผิวทั้ง 6 ประเภทกันค่ะ ผิวผสม ผิวผสม คือ ผิวที่มีลักษณะทั้งแห้งและมันรวมอยู่บนใบหน้าค่ะ ซึ่งส่วนที่มีผิวมันจะเรียกว่า บริเวณ T-zone เป็นช่วงระหว่างหน้าผาก จมูก และคางค่ะ โดยจุดนี้จะมีรอยด่างดำเล็กๆ เกิดขึ้นบ้างค่ะ ส่วนบริเวณผิวแห้ง จะอยู่ช่วงบริเวณแก้ม วิธีสังเกต ใบหน้ามีความมันเงา ช่วงกลางใบหน้า ปัญหาผิวส่วนใหญ่ อยู่บริเวณ T-zone บริเวณแก้มแห้งมากกว่าใบหน้าโซนอื่น วิธีสร้างสมดุลผิวผสม ทำความสะอาดผิวให้สะอาด ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจะมีประสิทธิภาพมากกว่า น้ำร้อนหรือน้ำเย็น เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มี moisturizer และในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ผิวบริเวณ T-zone มีความชุ่มชื้น ลดการผลิตน้ำมันน้อยลง เพื่อลดปัญหาสิว ผิวแห้ง ผิวแห้ง คือ ผิวที่มีความแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้นและไขมันที่ผิว จึงเกิดการระคายเคืองได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น จึงต้องเน้นการฟื้นฟูผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ เพื่อให้ผิวแข็งแรงไม่แพ้ง่าย วิธีสังเกต เมื่ออยู่ในที่อากาศแห้งและเย็น จะเกิดอาการคัน ผิวมีความหยาบกร้าน แห้งตึง มีปัญหาผิวผื่นคัน แดง เป็นประจำ วิธีสร้างสมดุลผิวแห้ง ดื่มน้ำเปล่า 2 ลิตรเป็นประจำทุกวัน เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มาจากสกัดจากธรรมชาติ เพื่อให้ผิวผ่อนคลาย ลดผื่นแพ้ ผิวธรรมดา ผิวธรรมดา คือ ผิวที่มีความยืดหยุ่นสูงค่ะ ถือได้ว่าเป็นผิวที่มีความสมดุล สุขภาพดี เพราะจะมีความนุ่มชุ่มชื้น อวบอิ่ม ดูมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ไม่มีปัญหาผิวในเรื่องริ้วรอย หรือรูขุมขน เพราะผิวมีสมดุลของน้ำมันที่หล่อเลี้ยงทั่วใบหน้าจึงไม่แห้ง หรือมันเกินไป วิธีสังเกต ผิวนุ่มเหมือนผิวเด็ก รูขุมขนละเอียด ไม่ค่อยมีปัญหาผิว หากผิวสุขภาพดีมาก จะมีความอมชมพู วิธีสร้างสมดุลผิวธรรมดา แม้จะเป็นผิวที่ดีอยู่แล้วก็ห้ามละเลยเรื่องการดูแลนะคะ ควรล้างหน้าทั้งเช้าและเย็นอย่างสะอาด เลือกโฟมล้างหน้าที่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงจนเกินไป เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ปกป้องการสูญเสียน้ำระหว่างวัน เลือกผลิตภัณฑ์ที่เนื้อไม่หนักหรือเบาเกินไป ขัดผิวอย่างอ่อนโยนเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและขจัดสิ่งสกปรก ผิวมัน ผิวมัน ผิวมีจุดหรือรอยด่างดำ เป็นผิวที่มีลักษณะการผลิตน้ำมันมากเกินจำเป็นค่ะ บวกกับความแปรปรวนของฮอร์โมน เช่น อาจมีการหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความเครียด จะสังเกตได้ว่าคุณอาจมีสิวเห่อในช่วงที่ทำงานหนัก ทำให้เกิดสิวหัวดำ จนทิ้งรอย จึงต้องดูแลผิวเป็นพิเศษ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการเกิดแบคทีเรีย น้ำมันบนใบหน้าจนเกิดการอักเสบ หรืออุดตัน วิธีสังเกต มีรูขุมขนขนาดใหญ่ จนเห็นได้ชัด ผิวมันเงา สิวขึ้นซ้ำๆ วิธีสร้างสมดุลผิวมีจุดด่างดำ ควรรักษาความสะอาดผิวหน้าเพื่อลดการเกิดแบคทีเรียที่ไปอุดตันรูขุมขน มาส์กหน้าสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ผิวนุ่มนวลและชุ่มชื้น เมื่อเกิดสิวหัวดำไม่ควรบีบ เพราะเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ผิวบอบบาง ผิวบอบบาง หรือ ผิวแพ้ง่าย คือ ผิวที่ไวต่อปฏิกิริยาสิ่งเร้าภายนอก เพราะปลายประสาทภายในผิว บวกกับไปกระตุ้นการหลั่งของ Histamin ในผิว ทั้งจากความเครียด อากาศที่แห้งเกินไป โดนแสงแดด UV มลภาวะ ฝุ่นควัน อาหาร ยิ่งเกราะป้องกันของชั้นผิวมีความบอบบางมากกว่าปกติแล้ว จึงทำให้คุณเกิดอาการคัน แน่นตึง แดง เมื่อคุณถูกกระตุ้น วิธีสังเกต มีอาการคัน ผิวแห้ง ผดผื่น ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน หรือต่างจากสภาพแวดล้อมเดิม เมื่อแพ้ผิวจะแดง เพราะหลอดเลือดเกิดการขยายตัว มักเกิดในผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ วิธีสร้างสมดุลผิวบอบบาง หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดสิ่งเร้า สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง ด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลังการทำความสะอาดผิวหน้า ควรซับหน้าให้แห้งแทนการถูไปมา เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม เพื่อลดการระคายเคือง ผิวแก่ก่อนวัย ผิวแก่ก่อนวัย คือ ผิวที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างผิวหนัง และการเสื่อมประสิทธิภาพของเซลล์ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ทำให้การผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลงไปด้วย เกิดมักเกิดปัญหาริ้วรอย ผิวขาดความชุ่มชื้น ไม่มีความยืดหยุ่น วิธีสังเกต ผิวแพ้ง่ายขึ้น ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ผิวมีปัญหาเรื่องริ้วรอยที่ชัดขึ้น วิธีสร้างสมดุลผิวแก่ก่อนวัย เลือกผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และเน้นการฟื้นฟูเซลล์ใหม่ในผิว ทาครีมกันแดดอย่างเป็นประจำ เพราะรังสี UV จะเร่งการเกิดผิวที่แก่ก่อนวัย เลือกทานผักผลไม้ที่มีประโยชน์ เน้นเสริมสร้างของคอลลาเจน ให้เกิดการฟื้นฟูตั้งแต่ภายในเซลล์ผิว เรื่องของผิวนั้นสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะ ฮอร์โมนเกิดการแปรปรวน การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ขาดสารอาหารวิตามินและแร่ธาตุไปเลี้ยงผิว ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้คุณมีผิวธรรมดาในตอนเด็ก แต่เมื่ออายุมากขึ้นอาจเกิดผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย และผิวมันได้ทุกเมื่อ จึงไม่ควรมองข้ามและควรหมั่นเติมวิตามินผิวอย่างเป็นประจำ ฟื้นฟูผิวพังให้ปังถึงระดับเซลล์ ที่ปัญหาผิวแบบไหนก็ทำได้ด้วย IV Drip Vitamin เติมวิตามินให้ผิวที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดปัญหาสิวไม่ให้ขาด ด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบไหนก็สร้าง Skin Barrier ได้โดยไม่ต้องรอนาน แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบอวัยวะภายในร่างกายให้คล่องขึ้น ด้วยสูตรต่างๆ เหล่านี้ที่คิดค้นโดยแพทย์ด้าน Anti-Aging โดยเฉพาะ At Thrive Original IV Drip : 2,990.-/ครั้ง Aura Skin สูตรผิวสวยกระจ่างใส มีออร่า เติมวิตามินให้กับผิว สูตรนี้จะเหมาะสำหรับการเข้าดริปวิตามินแบบต่อเนื่องเป็นประจำ ร่างกายแข็งแรงระดับหนึ่ง เพราะสามารถดึงวิตามินที่เป็นสารตั้งต้นได้รับเข้าสู่กระบวนการทางร่างกายได้ เน้นวิตามินที่สำคัญร่างกายจำเป็นต้องใช้ เช่น Vitamin C B1 B6 Calcium Magnesium NAC (N-Acetyl Cysteine) แต่ก็ยังคงความอ่อนโยน ทำให้ไม่แสบเส้นเมื่อคุณรับบริการ แนะนำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง Booster IV Drip : 3,800.-/ครั้ง Luminous Skin สูตรวิตามิน C เข้มข้นและแร่ธาตุช่วยฟื้นฟูพร้อมบำรุงผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง สูตรเข้มข้นเพื่อเน้นการดูแลสุขภาพซึมลึกถึงระดับเซลล์ ด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และ Amino acid ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระระดับสูง ช่วย Boost ระดับวิตามินและ Restore Vitamin level ในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนล้า ต้องการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน เพราะสามารถดูดซึมและร่างกายนำไปใช้ได้ทันที เสริมด้วย Vitamin C passcobin, CoQ10 ALA L-Carnitine Vitamin B5 Folic Acid Glutathione แนะนำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง Advance IV Drip : 7,500.-/ครั้ง Gorgeous Skin วิตามิน C เข้มข้นพิเศษและแร่ธาตุฟื้นฟูผิวเปล่งปลั่ง เรียบลื่น วิตามินรวมกว่า 21 ชนิด Vitamin C Pascorbin และ ALA เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ สูตรดริปวิตามินระดับ premium ที่ประกอบด้วย Vitamin, minerals, Amino acid ในระดับสูง (High Dose) และพิเศษ Vitamin C Pascorbin นำเข้าจากเยอรมันและอเมริกาที่อ่อนโยน ยังมี Placenta ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ทุกเซลล์และซ่อมแซมทุกปัญหาของผิว เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือผู้ที่ไม่อยากเติมวิตามินบ่อยครั้งมากนัก ช่วยบำรุงผิวอย่างเป็นพิเศษ พร้อมสุขภาพดี IV Drip Vitamin คืออะไร ลบปัญหาผิวอย่างเป็นธรรมชาติ วิตามินผิวขาว

  • ตรวจ DNA คู่มือจัดการสุขภาพเชิงป้องกัน สำหรับคุณโดยเฉพาะ มั่นใจ ไม่ต้องกังวล เพราะรู้ก่อน ป้องกันโรค

    คลิกเลือกอ่านเนื้อหาที่สนใจ … DNA คืออะไร DNA แตกต่างและไม่หายไป DNA เกี่ยวข้องอย่างไรกับการดูแลสุขภาพ DNA ผลลัพธ์เพื่อการดูแลเชิงป้องกันแบบเฉพาะบุคคล Personalized Health Service วิเคราะห์ DNA เห็นผลได้อย่างไร รู้จักและเข้าใจตัวเองได้ด้วยการตรวจ DNA Health & Life การตรวจ DNA Health & Life เหมาะกับใคร “คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน แม้แต่ฝาแฝดออกมาจากไข่ใบเดียวกัน ยังแตกต่างกัน” เคยสังเกตไหมคะว่า ทำไมเรา และพ่อแม่ มีองค์ประกอบ อวัยวะที่เหมือนกันแต่ หน้าตา สีผิว สีผม ถึงไม่เหมือนกัน บางครั้ง อาหารที่พ่อแม่ทานได้ดี ทำไมคุณถึงแพ้ ย่อยยาก หุ่นในฝันแต่การออกกำลังกายที่เราชอบ หรือปั้นกล้ามเนื้อให้เป๊ะก็ไม่เทียบเท่า บางครั้ง ผิวพรรณก็แตกต่างจากพ่อแม่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะสภาพผิว ความหย่อนคล้อย หรือความชุ่มชื้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Lifestyle หรือการใช้ชีวิตนี้ เป็นรายละเอียดที่ รหัสทางพันธุกรรมหรือ DNA มีส่วนเกี่ยวข้อง ถูกกำหนดมาแบบที่คุณเลือกไม่ได้ คุณอาจได้รับรหัสทางพันธุกรรมที่บ่งบอกว่าคุณจะมีสุขภาพดี ห่างไกลโรคที่ส่งต่อทางพันธุกรรม เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน DNA บอกได้! DNA คืออะไร DNA หรือสารพันธุกรรม เป็นกรดนิวคลิอิก ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรม มีความสามารถในการสร้างและจำลองตัวเองได้ จึงสามารถสร้าง DNA ที่เหมือนเดิมได้ เช่น จากพ่อและแม่สู่ลูก ดีเอ็นเอสามารถถูกถอดรหัส เพื่อสร้างเป็นอาร์เอ็นเอ (ribonucleic acid; RNA) อาร์เอ็นเอที่ได้นี้จะทำหน้าที่กำหนดการเรียงตัวของกรดอะมิโน ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งโปรตีนจะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในโครงสร้างขององค์ประกอบต่างๆ ภายในเซลล์ และเป็นสารเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมี หรือเอนไซม์ (enzyme) ในสิ่งมีชีวิต ด้วยหน้าที่ทั้ง 2 ประการของดีเอ็นเอ ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถสืบทอดลักษณะประจำพันธุ์ และดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ โครงสร้างของดีเอ็นเอประกอบไปด้วย สายพอลินิวคลิโอไทด์ ที่เกิดจากการเชื่อมต่อกันของนิวคลิโอไทด์หลายๆ หน่วย ด้วยพันธะ ฟอสโฟไดเอสเตอร์ โดยเกิดจากสายพอลินิวคลิโอไทด์จำนวน ๒ สายเรียงตัวขนานกันในทิศทางตรงกันข้าม เข้าคู่และพันกันเป็นเกลียวเวียนขวาคล้ายบันไดเวียน ที่เรียกว่า ดับเบิลเฮลิกซ์ (doublehelix) การเข้าคู่หรือเข้าจับกันของสายพอลินิวคลิโอไทด์ทั้ง 2 สาย เกิดจากการเข้าคู่กัน ระหว่างเบสพิวรีน และเบสไพริมิดีน ด้วยพันธะไฮโดรเจน โดย A ทำการสร้างพันธะจำนวน ๒ พันธะเข้าจับกับ T (A = T) และ G ทำการสร้างพันธะ จำนวน 3 พันธะ เข้าจับกับ C โดยมีน้ำตาล และหมู่ฟอสเฟตทำหน้าที่เป็นแกนอยู่ด้านนอกของโมเลกุล Ref: โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ความพิเศษของ DNA ไม่ใช่แค่เพียงส่งต่อยีนโครโมโซม 23 คู่ ผ่านรูปร่าง หน้าตา สีผิว ความสูง อย่างที่เราเห็นจากลักษณะภายนอกเท่านั้น แต่กระบวนการในร่างกาย ความผิดปกติของโรคของพ่อและแม่อย่างละครึ่งก็ส่งผลสูู่ลูกด้วยเช่นกัน DNA แตกต่างและไม่หายไป บนโลกนี้ไม่มีใครที่เหมือนกัน เพราะทุกคนมี ‘แบบพิมพ์เขียว’’ ของตัวเองซึ่งคือ ‘รหัสพันธุกรรม’ หรือ ‘DNA’ ที่จะเหมือนรหัสลับไขความเป็นตัวเรา ร่างกายของคนเรา ประกอบไปด้วยเซลล์ประมาณ 60 ล้านล้านเซลล์ โดยทุกเซลล์จะมีสารพันธุกรรมที่เรียกว่า DNA สำหรับเก็บรหัสที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตซึ่งถ่ายทอดมาจากพ่อ แม่ และส่งต่อไปยังลูกหลานรุ่นต่อไปได้ DNA ไม่เพียงแต่กำหนดลักษณะภายนอกที่ทำให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น สีผิว และรูปร่าง แต่ DNA ยังเป็นสิ่งที่กำหนดว่าร่างกายของเรา จะมีการทำงานอย่างไรรวมถึงส่งผลต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพ ที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลอีกด้วย DNA เกี่ยวข้องอย่างไรกับการดูแลสุขภาพ เมื่อ DNA จดจำและถูกส่งต่อ จึงสามารถนำยีนมาวิเคราะห์เพื่อบ่งชี้ถึงโอกาสและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ค่ะ และความผิดปกติทางพันธุกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะความผิดปกติบางชนิดก็ไม่สามารถพบได้ในรุ่นพ่อและแม่ เพราะการไม่เจ็บป่วย คือ ลาภอันประเสิรฐ แต่คุณจะหลีกเลี่ยงโรคร้ายได้อย่างไร เมื่อไม่สามารถควบคุมมลภาวะทางอากาศ ส่วนประกอบของอาหารที่ไม่ทราบแหล่งที่มาได้ การตรวจรหัส DNA จึงไม่ใช่แค่เพียงการตรวจผลเลือดเท่านั้นในยุคนี้ แต่ยังเข้ามาช่วยการวางแผนชีวิตของคุณอย่างปลอดภัยได้แบบองค์รวม DNA ผลลัพธ์เพื่อการดูแลเชิงป้องกันแบบเฉพาะบุคคล Personalized Health Service การตรวจรหัส DNA เป็นรหัสพันธุกรรมที่สามารถระบุได้ถึงทุกความเสี่ยงที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเฉพาะคุณเท่านั้นที่ส่งต่อจากพ่อและแม่ ด้วยความแม่นยำ มากกว่า 99% วิเคราะห์ด้วยแลบระดับโลก มาตรฐานอเมริกา วิเคราะห์ DNA กว่า 700,000 ตำแหน่งในมากกว่า 23,000 ยีน คำนวณด้วยอัลกอริทึมตามเชื้อชาติ สามารถตรวจเพื่อวางแผนสุขภาพเรื่องต่างๆ ได้ดังนี้ ความต้องการของสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่ควรเสริม ความไวของร่างกายต่ออาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต แอลกอฮอล์ กลูเตน คาเฟอีน รสชาติอาหาร ไขมันอิ่มตัว ความไวต่อการติดเชื้อ เช่น โควิด-19 งูสวัด วัณโรค เริม ปอดอักเสบ ไวรัสตับอักเสบ การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับร่างกาย สมรรถภาพทางร่างกาย เช่น อัตราการเผาผลาญ ความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ การฟื้นฟูร่างกาย ความอ้วน ตะคริว ความยืดหยุ่นทางร่างกาย ความเสี่ยงในการเกิดโรคร้าย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคมะเร็ง ตาบอดสี การตอบสนองต่อยา เช่น ขนาดยาที่เหมาะสม Side effect จากยา รายชื่อยาที่เกิดอาการแพ้ ความไวต่อมลภาวะ เช่น ฝุ่น ควันบุหรี่มือสอง มลพิษจากการจราจร โรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดจาก Pm2.5 โรคหอบหืดจากมลภาวะ คุณลักษณะเฉพาะบุคคล เช่น การจัดการความเครียด ความต่อความรู้สึกเจ็บ การหลับลึก กลิ่นตัว การเคลื่อนไหวขณะหลับ ความไวต่อรสขม สุขภาพผิวพรรณ เช่น การเป็นแแผลคีลอยด์ ความเสี่ยงต่อการเกิดสิว ผิวแห้งขาดน้ำ ผิวแตกลาย ผื่นแพ้ ฯลฯ สุขภาพทางเพศ เช่น สมรรถภาพทางเพศ ต่อมลูกหมากโต ชอคโกแลตซีสต์ วิเคราะห์ DNA เห็นผลได้อย่างไร DNA เปรียบเหมือนคลังเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อมา มีลักษณะเกลียวคู่คล้ายบันไดที่บิดตัวทางขวา ขั้นของบันไดนี้เองจะเกิดการจับคู่กันเกิดขึ้นของไนโตรเจนเบส ภายใน 1 เซลล์ของร่างกาย จะมีการจับคู่ของไนโตรเจนเบสกว่า 3 พันล้านคู่ ซึ่งคนเราทุกคนมีลำดับเบสบนสาย DNA เพียง 0.1% ที่ส่งผลให้คนเราแตกต่างกัน มีผลงานค้นคว้าวิจัยพบว่าต่างทั้งทางร่างกาย สุขภาพ รูปร่าง ผิวพรรณ ความคิด ความถนัด ความเสี่ยงของการเกิดโรค เรียกว่า ‘สนิปส์’ หรือ SNPs (Single nucleotide polymorphism) รู้จักและเข้าใจตัวเองได้ด้วยการตรวจ DNA Health & Life Package DNA Coding Health & Life เป็นรูปแบบการใช้เทคนิคการตรวจ DNA ด้วยการนำตัวอย่างเซลล์จากน้ำลาย มาสกัดสารพันธุกรรมเพื่อให้ได้ DNA หลังจากนั้นจะทำการตรวจวิเคราะห์ความแปรผันทางพันธุกรรมของยีน เมื่อได้รับผลการตรวจวิเคราะห์จะเป็นรูปเล่มที่อธิบายผลการทดสอบความแปรผันของยีน ในหนังสือรายงานผลจะมีคำอธิบายที่อ่านทำความเข้าใจได้ง่าย พร้อมทั้งคำแนะนำง่ายๆ ให้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ผลสามรถนำไปประเมินความสัมพันธ์ความต้องการสารอาหาร ความไวต่ออาหาร การลดน้ำหนักที่เหมาะสม และการออกกําลังกายได้ การตรวจ DNA Health & Life เหมาะกับใคร ผู้ที่มีประวัติสมาชิกครอบครัวเป็นโรคมะเร็งในอายุต่ำกว่า 50 ปี ผู้ที่มีประวัติสมาชิกครอบครัวเป็นโรคหัวใจ โรคอ้วน หลอดเลือดสมองในขณะยังอายุน้อย ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคมะเร็งหรือเนื้องอกที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้สนใจตรวจสุขภาพเพื่อวางแผนครอบครัว ผู้ที่มีปัญหาด้านการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย บุคคลทั่วไปที่สนใจตรวจหาความเสี่ยงด้านสุขภาพ เพื่อจัดการป้องกันความเสี่ยงตั้งแต่ยังสุขภาพดี ไม่เกิดโรค พร้อมเข้ารับบริการจากการเก็บตัวอย่างน้ำลาย ไม่เจ็บตัว มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด ได้ที่ ไธรฟ์ เวลเนส คลินิกค่ะ การตรวจ DNA health&life คืออะไร โรค SLE คืออะไร มะเร็งปากมดลูก

  • ทำแค่นี้เอง! แต่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายไม่ป่วยบ่อยได้

    เพราะภูมิคุ้มกันช่วยให้ร่างกายคุณไม่ป่วยง่าย กำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่เป็นตัวก่อให้เกิดโรคร้าย การสร้างภูมิคุ้มกันจึงจำเป็นอย่างมากในสภาวะที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝุ่นควัน การติดเชื้อโควิด-19 ไธรฟ์ แชร์ 3 วิธีสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ป่วยบ่อย ผิวแข็งแรง ขับถ่ายดี 1. ปรับ LifeStyle ทานอาหารคลีน ดื่มน้ำเปล่าเพียงพอ พักผ่อนพอเพียง การดื่มเปล่าคือเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทุกวันเลยนะคะ เพราะว่าน้ำเปล่าดีต่อกลไกภายในร่างกายหลายระบบค่ะ โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันที่จะช่วยปรับสมดุล ช่วยลดภาวะการสูญเสียน้ำผ่านการปัสสาวะ เหงื่อ การหายใจ การออกกำลังกายค่ะ ทำให้สามารถดักจับแบคทีเรียร้ายในลำไส้ ให้ผนังลำไส้ทำงานได้อย่างแข็งแรง ควรดื่มน้ำเปล่าประมาณ 1.5-3 ลิตร/วัน และควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารคลีนก็ช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายไม่พังได้ด้วยนะคะ ไม่ใช่แค่ประโยชน์เพื่อลดน้ำหนักเท่านั้น เพราะการทานขนมปัง เนื้อสัตว์ ไข่ นม เนย ช็อกโกแลต น้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟ แอลกอฮอล์ เป็นอาการที่มีกรดสูง ทำลายระบบภูมิต้านทานทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงกระดูกพรุนและโรคหลอดเลือด การเลือกทานอาหารคลีน ที่ปรุงรสน้อย เน้นถั่ว ธัญพืช ผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินและเกลือแร่ จะช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ไม่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและหิวบ่อยค่ะ และปิดท้ายทุกวันด้วยการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ 6-8 ชั่วโมง/วัน ก่อนเวลา 22.00 น. เพราะการเข้านอนอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายหลั่ง Growth Hormone ได้ในปริมาณมาก ซึ่งโกรทฮอร์โมนเป็นผลดีกับเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า T-Cell ค่ะ ซึ่งเป็นชนิดที่ไว้สำหรับต่อสู้การติดเชื้อ และมีงานวิจัยระบุว่าผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 ก็เพราะมี T-Cell ที่แข็งแรงด้วยค่ะ 2. หมั่นตรวจสุขภาพไม่ปล่อยให้ภูมิคุ้มกันตกด้วย Immune Package เพราะการจะทราบว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องก็ต่อเมื่อคุณป่วยแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นร่างกายคงรีบูสต์ไม่ทัน การตรวจหาระดับฮอร์โมน เพื่อการรักษาที่ทันท่วงทีจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุของระบบภูมิคุ้มกันมักเกิดจากภาวะของลำไส้รั่ว ที่ร่างกายสามารถรับสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายจากการเกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ รวมถึงการขาดวิตามินและสารอาหารซึ่งไม่เพียงพอที่จะเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยใน Immune Package จะทำให้คุณได้รู้ถึงการบกพร่องของ Vitamin D3 ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยในกระบวนการแบ่งเซลล์เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ, Zinc แร่ธาตุที่ร่างกายผลิตไม่ได้ แต่สำคัญในการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งสำคัญต่อการกำจัดเชื้อโรค, Vitamin A เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน, Vitamin E ป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง การเกิดลิ่มเลือด การอุดตันของเส้นเลือด, ฮอร์โมน DHEAs ฮอร์โมนตั้งต้นที่ใช้นำมาผลิตฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศ แอนโดรเจน, Lycopene ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียน ลดผดผื่นแพ้, Beta-cryptoxanthin กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย และช่วยให้สุขภาพผิวดี เนียนใส ไร้จุดด่างดำ, การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง 216 รายการ ที่ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ผื่น สิวอักเสบ เป็นต้น สนใจตรวจ Thrive Absolute Immune Package ราคา 27,900.- สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องงดน้ำหรืออาหาร ระยะเวลารอผลตรวจ 10-14 วัน นัดหมายเข้าฟังผลกับแพทยย์ 1 ชั่วโมง 3. เสริมวิตามินเร่งด่วน IV Drip สร้างภูมิคุ้มกันแบบเต็ม Max! ด้วยปัจจัยหลายอย่างในชีวิตประจำวัน คุณจึงมีชีทเดย์ให้ตัวเองบ้างในวันหยุด Weekend เลือกทำกิจกรรมอย่างพอใจ ปล่อยเรื่องการนอน ทานอาหารให้เป็นเรื่องของเด็กบ้างบางครั้ง ไธรฟ์ จึงอยากแนะนำการสร้างภูมิคุ้มกันให้คุณแข็งแรงอยู่เสมอแม้ในวันที่คุณมีเงื่อนไขชีวิต เลือกเสริมวิตามินที่ช่วย Boost up ร่างกาย ก็เป็นทางเลือกให้คุณไม่ป่วยง่ายได้เช่นกัน เติมวิตามินเร่งด่วนที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ปังได้อยู่ตลอดผ่าน IV Drip Vitamin เพิ่มการดูดซึมทันทีเพื่อให้ร่างกายทันใช้ 🔰IV DRIP MEGA DOSE VIT C เสริมพลังโดสเข้มข้นด้วย Vitamin C บูสต์เสริมภูมิคุ้มกันขั้นสุด พร้อมเสริมสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นฟื้นฟูผิวพร้อมรับทุกกิจกรรม บํารุงผิวสดใส เปล่งปลั่ง เรียบลื่น ช่วยกระบวนการทําลายเชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ❇️ ราคา 7,500.-/ครั้ง 🔰IV DRIP IMMUNE UPGRADE สูตรที่มี Vitamin C เข้มข้นและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เหมาะกับผู้เป็นหวัดบ่อย แพ้อากาศหรือภูมิแพ้ ❇️ ราคา 3,800.-/ครั้ง 🔰IV DRIP ALLERGY DEFENDER สูตรเพิ่มภูมิคุ้มกัน ไข้หวัด และป้องกันภูมิแพ้ ❇️ ราคา 2,990.-/ครั้ง IV Drip Vitamin คืออะไร? 5 Vitamin เสริมภูมิคุ้มกันตก IV Drip สูตรสำหรับสร้างภูมิต้านทาน

bottom of page