top of page

Thrive Wellness Clinic

  • Facebook
  • YouTube
  • Instagram

ชั้น2 เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา 
Opening Hours เวลาเปิดทำการ 10:00 -19:30 

thrive-clinic.png

Search Results

พบ 198 รายการสำหรับ ""

  • Hormone ดีไม่มีแก่ เพราะฮอร์โมนสำคัญทุกช่วงวัย

    ฮอร์โมนสำคัญกับทุกช่วงวัย ถ้าหากฮอร์โมนไม่สมดุล จะส่งผลเสียต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ผิวแห้งกร้าน ผิวมีริ้วรอย ประจำเดือนมาไม่ปกติ อารมณ์แปรปรวน ระดับพลังงานลดลง คุณภาพการนอนลดลง ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายควรให้ความสำคัญกับการเสริมวิตามินหรือรักษาระดับฮอร์โมนให้สมดุลอยู่เสมอ ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมหมวกไตและรังไข่ มีหน้าที่ในการผลิตเซลล์ไข่ การตกไข่ การสร้างตกขาว การสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน และยังช่วยควบคุมการมีประจำเดือน รักษาสภาวะทางอารมณ์ เสริมสร้างกระดูก กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) สร้างขึ้นสร้างจากต่อมหมวกไตและรังไข่ เหมือนกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) โดยจะมีหน้าที่ที่คล้ายกันในการควบคุมการตกไข่และมีประจำเดือน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะส่งผลในด้านสรีระมากกว่าเช่น ผิวเนียนนุ่ม, มีหน้าอก มีทรวดทรงเอวคอด และในด้านของอารมณ์ที่ส่งผลให้เกิดความเรียบร้อย อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย ตามสไตล์ผู้หญิง ฮอร์โมน FSH (Follicular stimulating hormone) ถูกสร้างมาจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Pituitary) หรืออะดิโนไฮโปไฟซิส (Adenohypophysis) โดยทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ ส่งผลต่อการเป็นประจำเดือน และการตั้งครรภ์ ฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone) ถูกสร้างขึ้นที่ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) มีหน้าที่กระตุ้นให้ไข่ตกในทุกๆรอบเดือน โดยฮอร์โมน LH จะหลั่งออกมาในช่วงที่ไข่สมบูรณ์แล้ว (หลังการหลั่งของฮอร์โมน FSH) ฮอร์โมน LH จะทำให้ไข่สุกเพื่อรอการปฏิสนธิจากอสุจิ และยังมีผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ส่งผลให้เกิดประจำเดือนอีกด้วย ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) แม้เป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ก็มีความจำเป็นในผู้หญิง เพราะจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ รักษามวลกล้ามเนื้อ รักษาสมดุลของระบบเผาผลาญ ส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูก ลดไขมันสะสมในร่างกาย รวมไปถึงอารมณ์ทางเพศของเพศหญิง และยังช่วยเสริมระบบการทำงานของหัวใจ หลอดเลือด ระบบประสาท สมองและความจำ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม และช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้หญิงจะถูกผลิตจากรังไข่ ต่อมหมวกไต เซลล์ไขมัน และเซลล์ผิวหนัง ฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin : PRL) จะผลิตจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า เป็นฮอร์โมนกลุ่มโปรตีนมีโครงสร้างคล้ายกับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ประกอบด้วย อะมิโนแอซิด (Amino Acid) เมื่อตั้งครรภ์ระดับโปรแลคตินจะเพิ่มสูงขึ้นเพื่อการสร้างและผลิตน้ำนม และช่วยควบคุมวงจรการตกไข่ของผู้หญิงอีกด้วย ฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) เป็นฮอร์โมนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเซลล์ของรก มีหน้าที่ช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูกได้ดีขึ้น โดยระดับของฮอร์โมน hCG จะเริ่มพบหลังจากผ่านการปฏิสนธิได้ประมาณ 11 วัน และจะเริ่มสูงขึ้นในช่วง 1-3 เดือนแรก โดยฮอร์โมน hCG จะเกิดขึ้นได้เฉพาะตอนที่ผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์เท่านั่น ฮอร์โมนไม่สมดุลส่งผลเสียอย่างไร ฮอร์โมนมีความสำคัญต่อระบบการทำงานของร่างกาย เมื่ออายุเริ่มเข้า 35 ปี ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ที่เห็นเด่นชัดสุดก็คือผิวพรรณ จะเริ่มรู้สึกผิวแห้งกร้าน ผิวหยาบ มีริ้วรอยบนใบหน้า ริ้วรอยตาข้อพับ เส้นคอ ข้อมือ ผิวไม่ชุ่มชื่น และจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า นอนไม่หลับ ระบบเผาผลาญทำงานได้น้องลงอีกด้วย 3 ฮอร์โมนที่สำคัญในแต่ละช่วงวัย หากบกพร่องไปอาจเกิดปัญหา วัยทำงาน อายุ 23 - 45 : ฮอร์โมนดีเอชอีเอ (DHEAs) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นจากต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นฮอร์โมนตั้งต้นที่ร่างกายนำมาผลิตฮอร์โมนสำคัญๆ เช่น ฮอร์โมนเพศ อย่าง เทสโทสเทอโรน หรือเอสโตรเจน โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะผลิตได้สูงสุดในช่วงอายุประมาณ 25 ปี และจะค่อยๆลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น วัยนี้เป็นวัยที่ควรจะมีความคล่องตัวสูง แต่หากใครมีปัญหาตื่นยากในตอนเช้า ตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่น สายๆ ก็เริ่มง่วง สมองไม่แล่น ต้องมีน้ำหวาน ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มคาเฟอีนมาเป็นตัวกระตุ้น จึงจะรู้สึกว่าอยู่ได้ แต่พอตกกลางคืนกลับตาสว่าง หลับยาก จนสามารถอยู่ถึงเช้าได้แบบสบายๆ หากใครมีอาการแบบนี้ อาจเป็นเพราะมีภาวะต่อมหมวกไตล้า หรือ Adrenal Fatigue ซึ่งสามารถตรวจวินิจฉัยได้ด้วยการวัดระดับฮอร์โมนดีเอชอีเอ (DHEAs) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดในร่างกาย การตรวจจะช่วยชี้วัดความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพื่อการรักษาให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพิ่มความสดใสในระหว่างวัน วัยกลางคน อายุ 35 - 50 : ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid) คือต่อมไร้ท่อที่อยู่บริเวณส่วนกลางลำคอ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ใช้ในการเผาผลาญสร้างพลังงานเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อต่อมไทรอยด์มีการทำงานผิดปกติ ผลิตฮอร์โมนออกมาใจนำนวนที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็จะเกิดผลกระทบต่อร่างกาย และทำให้ระบบเผาผลาญผิดปกติ ไทรอยด์ต่ำแฝง มีแนวโน้มที่จะเกิดกับวัยกลางคนมากกว่าวัยอื่นๆ สาเหตุหลักมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด จนอาจกลายเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน ในบางรายที่ต้องการลดน้ำหนัก แม้ว่าจะรับประทานอาหารน้อยลง ออกกำลังกายก็แล้ว แต่น้ำหนักก็ยังไม่ยอมลงเสียที บางครั้งเป็นคนเฉื่อยชา คิดช้า หัวตื้อ สมองไม่ปลอดโปร่ง อาการเหล่านี้ก็อาจเป็นเพราะมีภาวะไทรอยด์ต่ำแฝง หากมีอาการตามข้างต้น ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจการเผาผลาญของร่างกาย ว่าเป็นภาวะไทรอยด์ต่ำแฝงหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน อายุ 40 - 60 : ฮอร์โมนเพศ (Testosterone และ Estrogen) เมื่อพูดถึงวัยทอง แน่นอนว่าจะต้องนึกถึงฮอร์โมนเพศ ซึ่งฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen จะช่วยการทำงานของกระดูกและหัวใจ ส่วนฮอร์โมนเพศชาย หรือ Testosterone นอกจากเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด ความสมดุลของอารมณ์ การนอนหลับ แต่อาการเริ่มแรกที่สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนไปของวัยทอง คือ อารมณ์แปรปรวน และ หงุดหงิดง่าย ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) สำหรับวัยทองในเพศชาย เราจะพบว่าอะไรที่เคยตัดสินใจเฉียบขาด กลายเป็นลังเล รู้สึกห่อเหี่ยว ในด้านร่างกายก็จะอ้วน ลงพุงง่าย แต่หากฮอร์โมนลดลงก่อนวัยอันควร จะส่งผลกับกล้ามเนื้อ มวลกระดูก มีความเสี่ยงที่กล้ามเนื้อจะลีบเล็กลง กระดูกบางง่าย มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ วิธีการเพิ่มระดับฮอร์โมน ในผู้ชาย: ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียง เลือกรับประทานอาหารกลุ่มที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย เช่น Zinc หรือแร่สังกะสี เช่น หอยนางรม ฮอร์โมนเพศหญิง ( Estrogen) สำหรับคุณผู้หญิง อาจมีอาการร้อนวูบวาบจากภาวะหมดประจำเดือน เหงื่อออกทั้งที่อากาศไม่ร้อน มีอาการหนาวๆ ร้อนๆ รวมถึงมีความเสี่ยงที่กระดูกจะบางมากขึ้น เพราะมวลกระดูกลดลง กล้ามเนื้อไม่ค่อยแข็งแรง วิธีการเพิ่มระดับฮอร์โมน ในผู้หญิง: กินอาหารที่มีเอสโจรเจนสูง เช่น น้ำมะพร้าว นมถั่วเหลือง ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท หากผู้ที่มีอายุมาก ควรเข้ารับการตรวจฮอร์โมนเป็นประจำทุกปี ได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ให้ฮอร์โมนต่างๆในร่างกายสมดุล และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนที่ร่างกายจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็วและจิตใจจะห่อเหี่ยวจนไร้ความสุข Package ตรวจระดับสมดุลฮอร์โมน วิธีปรับสมดุลฮอร์โมน Human Placenta Extract (HPE)

  • World Alzheimer's วันอัลไซเมอร์โลก

    World Alzheimer's วันอัลไซเมอร์โลก ตรงกับวันที่ 21 กันยายมของทุกปี จัดตั้งโดยองค์การอัลไซเมอร์ระหว่างประเทศ ADI (Alzheimer’s Disease International) โดยวันอัลไซเมอร์โลก ถูกตั้งชื่อตามจิตแพทย์ชาวเยอรมัน นามว่า อาลอยซ์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer) ซึ่งเป็นผู้ค้นพบโรคอัลไซเมอร์เป็นคนแรก เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญและเข้าใจกับโรคนี้มากยิ่งขึ้นจึงมีการรณรงค์และจัดตั้งวันอัลไซเมอร์โลกขึ้นมา โรคอัลไซเมอร์ คืออะไร โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) เป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมอง ซึ่งเป็นโรคที่มักพบบ่อยในผู้สูงอายุ มักจะมีอาการสูญเสียความทรงจำเริ่มจากน้อยๆและค่อยๆมากขึ้นตามลำดับ โดยโรคนี้จะมีการเสื่อมที่เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-amyloid) ชนิดไม่ละลายน้ำซึ่งเมื่อไปจับกับเซลล์สมองจะส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมและฝ่อลง รวมถึงทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองเสียหายจากการลดลงของสารอะซีติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำ อีกทั้งโรคอัลไซเมอร์ยังเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อม (Dementia) อีกด้วย เกิดจากอะไรได้บ้าง อายุที่เพิ่มขึ้น ความชราตามวัยนับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีส่วนทำให้เกิดการพัฒนาของโรค โดยโอกาสเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หลังจากที่อายุ 65 ปีขึ้นไป ยีนทางพันธุกรรม พันธุกรรมเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยแม้จะมีผู้ป่วยในครอบครัว แต่หากพบว่าสมาชิกในครอบครัวหลายคนมีประวัติหรือประสบกับโรค ควรต้องรับการปรึกษากับแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อโรคนี้เมื่ออายุมากขึ้น มีประวัติที่ได้รับความกระทบกระเทือนสมอง เช่น ล้ม หัวกระแทก หรือเกิดอุบัติเหตุรุนแรงทำให้มีความประทบกระเทือนสมอง หรือกระโหลกศีรษะ โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน ถึงแม้โรคเหล่านี้จะไม่ใช่สาเหตุหลักของการเป็นโรคอัลไซเมอร์แต่ก็เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน สัญญาณเตือนโรคอัลไซเมอร์ “Dementia is a degenerative brain condition that affects over 50 million people internationally and which robs a person of their memory,competency, comprehension and behavioural awareness, usually slowly, over years, it is a sad condition to live with or to witness in a loved one, there are over 100 forms of dementia, the most common being Alzheimer’s Disease at 50-60% of all dementia cases.” Source: https://www.awarenessdays.com/awareness-days-calendar/world-alzheimers-month-2023/#:~:text=September%201%20%2D%20September%2030,stigma%20surrounding%20Alzheimer's%20and%20dementia. ภาวะสมองเสื่อม ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก โดยผู้คนเหมือนถูกปล้นความทรงจำ ความสามารถ ความนึกคิด ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมของบุคคล โดยส่วนมากจะค่อยๆเผยอาการอย่างช้าๆ ต่อเนื่อง ยาวนานมากกว่า 1 ปี ภาวะสมองเสื่อมมีมากกว่า 100 รูปแบบ โดย 50-60% พี่พบคือ โรคอัลไซเมอร์ที่ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด เราจะสังเกตตัวเองหรือคนในครอบครัวเราอย่างไร อาการของโรคสมองเสื่อมที่มีสาเหตุมาจากอัลไซเมอร์นั้น จะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาการแรกเริ่มที่สำคัญของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือ การสูญเสียความจำระยะสั้น ซึ่งเป็นอาการที่ใกล้เคียงกับภาวะความจำเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงอายุ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะมีอาการทางพฤติกรรมหรือทางจิตเวชร่วมด้วย ซึ่งอาการทางพฤติกรรมนี่เองที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่มีอาการก้าวร้าว อาการทั่วไปของโรคอัลไซเมอร์อาจแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามระยะ ได้แก่ ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้ ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำๆเรื่องเดิม สับสนทิศทาง เริ่มเครียด อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า ระยะกลาง ผู้ป่วยมีอาการชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลง เดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมาย พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก เช่น จากที่เป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นหงุดหงิดฉุนเฉียว ก้าวร้าว พูดจาหยาบคาย เป็นต้น ระยะสุดท้าย ถือว่าเป็นระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ด เนื่องจากกลั้นไม่อยู่ และสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องพึ่งพาผู้อื่นในเรื่องง่ายๆ เช่น ป้อนข้าว อาบน้ำ เป็นต้น รวมทั้งภูมิคุ้มกันอ่อนแอเป็นสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อน ภาวะการติดเชื้อที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลนครธน การดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคอัลไซเมอร์ โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากรู้จักดูแลตนเองก็จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ภาวะความจำสั้น ภาวะสมองเสื่อม ช่วยให้สมองมีความจำที่ดีขึ้นได้ ควรดูแลตนเองดังนี้ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษทั้งหลายที่อยู่ในแอลกอฮอล์และบุหรี่จะเข้าไปทำลายและก่อให้เกิดอันตรายต่อสมอง ออกกำลังสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้เซลล์สมองใหม่ๆอยู่รอด และทำงานเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น หากเซลล์สมองสูญเสียหรือเซลล์สมองไม่เชื่อมต่อกันจะส่งผลต่อความจำนั่นเอง หากิจกรรมบริหารหรือฝึกสมองให้ได้คิดอยู่ตลอด ก็ช่วยให้สมองแข็งแรง ยืดประสิทธิภาพของสมองให้ใช้งานได้อย่างดีและใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะการนอนดึกจะยิ่งส่งผลต่อสมองโดยตรงทำให้สมองอ่อนล้าได้ง่าย การดูแลด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารอาหารน้ำ IV DRIP Brain Active การดริปวิตามินเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ระบบประสาท รวมถึงสมอง เพราะ วิตามินแร่ธาตุ สามารถดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสูตรที่มีสารน้ำที่ช่วยฟื้นฟู สมองและระบบประสาท เช่น Cerebrolysin หรือ Cerebrum ซึ่งใช้ในการดูแลเคสอัลไซเมอร์ อีกทั้งยังช่วยป้องกัน Stoke หรือ สมองเสื่อมอีกด้วย นอกจากนี้ IV DRIP Brain Active ยังมี วิตามินอีกหลากหลายชนิด เช่น Vitamin C, Vitamin B รวม ที่ช่วยเสริมสร้างพลังงานและฟื้นฟูระบบประสาทอีกด้วย IV DRIP Brain Active ราคา 3,800 บาท/ครั้ง **ราคาแพคเกจ สอบถามที่ไลน์ @thrivewellnessth หรือ กดที่ลิงค์ 🧩 https://lin.ee/i0InL89 Vitamin IV Drip

  • วิธีปรับสมดุลฮอร์โมน ถ้าคุณไม่อยากแก่กว่าวัยอันควร

    โดยปกติฮอร์โมนจะมีที่หน้าที่สำคัญสำหรับควบคุมการทำงานของระบบและอวัยวะภายในร่างกาย นั่นหมายความว่าหากฮอร์โมนของคุณมีปริมาณที่มากหรือน้อยจนเกินไปจนเกิดความไม่สมดุล จะส่งผลเสียต่อร่างกายหลายๆอย่าง เช่น ผิวโทรม ผิวมีริ้วรอย ประจำเดือนมาไม่ปกติ อารมณ์แปรปรวน ระดับพลังงานลดลง คุณภาพการนอนลดลง และรวมไปถึงภาวะมีบุตรยาก ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายควรให้ความสำคัญกับการรักษาระดับของฮอร์โมนให้สมดุลอยู่เสมอ ฮอร์โมนหลักๆที่สำคัญของผู้หญิง ฮอร์โมนไม่สมดุลส่งผลให้ดูแก่กว่าวัยอย่างไร 5 วิธีปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง สัญญาณเตือนระดับฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมนหลักๆที่สำคัญของผู้หญิง ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมหมวกไตและรังไข่ มีหน้าที่ในการผลิตเซลล์ไข่ การตกไข่ การสร้างตกขาว การสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน และยังช่วยควบคุมการมีประจำเดือน รักษาสภาวะทางอารมณ์ เสริมสร้างกระดูก กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) สร้างขึ้นสร้างจากต่อมหมวกไตและรังไข่ เหมือนกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) โดยจะมีหน้าที่ที่คล้ายกันในการควบคุมการตกไข่และมีประจำเดือน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะส่งผลในด้านสรีระมากกว่าเช่น ผิวเนียนนุ่ม, มีหน้าอก มีทรวดทรงเอวคอด และในด้านของอารมณ์ที่ส่งผลให้เกิดความเรียบร้อย อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย ตามสไตล์ผู้หญิง ฮอร์โมน FSH (Follicular stimulating hormone) ถูกสร้างมาจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Pituitary) หรืออะดิโนไฮโปไฟซิส (Adenohypophysis) โดยทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ ส่งผลต่อการเป็นประจำเดือน และการตั้งครรภ์ ฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone) ถูกสร้างขึ้นที่ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) มีหน้าที่กระตุ้นให้ไข่ตกในทุกๆรอบเดือน โดยฮอร์โมน LH จะหลั่งออกมาในช่วงที่ไข่สมบูรณ์แล้ว (หลังการหลั่งของฮอร์โมน FSH) ฮอร์โมน LH จะทำให้ไข่สุกเพื่อรอการปฏิสนธิจากอสุจิ และยังมีผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ส่งผลให้เกิดประจำเดือนอีกด้วย ฮอร์โมนไม่สมดุลส่งผลให้ดูแก่กว่าวัยอย่างไร ฮอร์โมนเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่มีผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ที่จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย และยังเป็นฮอร์โมนสำคัญของความอ่อนวัย ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้คงความอ่อนเยาว์ไว้ให้ได้นานที่สุด เมื่ออายุเริ่มเข้า 35 ปี ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ที่เห็นเด่นชัดสุดก็คือผิวพรรณ จะเริ่มรู้สึกผิวแห้งกร้าน ผิวหยาบ มีริ้วรอยบนใบหน้า ริ้วรอยตาข้อพับ เส้นคอ ข้อมือ ผิวไม่ชุ่มชื่น และจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า นอนไม่หลับ ระบบเผาผลาญทำงานได้น้องลงอีกด้วย 5 วิธีปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง 1. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง หากนอนไม่พอจะทำให้เกิดความเครียดสะสม ส่งผลให้ฮอร์โมนความเครียด หรือ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จะถูกหลั่งออกมามากเกินไป และไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศจนเกิดความไม่สมดุล และยังส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) ที่จะหลั่งออกมาในช่วงที่จะมีการตกไข่ ทำให้ตกไข่ผิดปกติส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติเช่นกัน 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนได้ เช่น วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิก โยคะ ไทเก๊ก เป็นต้น 3. ปรับโภชนาการอาหาร อาหารช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนได้ หากกินแต่อาหารไขมันสูง น้ำตาล ของหวาน แอลกอฮออล์ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อฮอร์โมนที่ผิดปกติ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน จำเป็นต้องหันมาทานอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ได้แก่ เพิ่มโปรตีน ควรเลือกทานโปรตีนสัตว์ที่มีแหล่งโปรตีนชั้นดีและไม่ติดมัน เช่น ไข่ เนื้อปลา อกไก่ หรือ นมแพะ ถั่วเหลือง อัลมอนด์ งาดำ ควินัว เมล็ดฟักทอง ลดคาร์โบไฮเดรต การทานอาหารแบบลดคาร์บประเภท Refined Carb ลง ช่วยลดระดับอินซูลิน ส่งผลต่อฮอร์โมนที่สมดุล การตกไข่เป็นปกติขึ้น ได้แก่ ข้าวกล้อง ควินัว อัลมอนด์ แฟล็กซีด และลูกเดือย งาดำ เมล็ดฟักทอง 4. ลดภาวะเครียดสะสม เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพื่อไปจัดการความเครียด และเมื่อใช้ฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป ร่างกายจะดึงฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ( Progesterone) มาใช้ จึงส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาไม่ปกติ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนต่อมหมวกไตอย่าง DHEAs ซึ่งเป็นฮอร์โมนตั้งต้นในการนำไปสร้างฮอร์โมนตัวอื่นๆในร่างกาย ทำให้มีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น หรือมีอารมณ์แปรปรวน 5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้นิโคติน (Nicotine) เข้าไปขัดขวางการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ทำให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาได้น้อยลง ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล บุหรี่ยังทำให้ผิวหมองคล้ำ โดยเฉพาะริมฝีปากดำคล้ำ และนิ้วมือ(ที่สัมผัสบุหรี่) รวมถึงทำให้เกิดริ้วรอบก่อนวัยอีกด้วย สัญญาณเตือนระดับฮอร์โมนไม่สมดุล ผิวพรรณแห้งกร้าน ผมร่วง ดูแก่กว่าวัย สิวขึ้นเยอะมากขึ้น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาไม่ปกติ นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย มีความเครียดสะสมสูง มีอาการหลงลืม เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ความต้องการทางเพศลดลง การปรับสมดุลฮอร์โมนเพศข้างต้นเป็นเพียงการปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ที่จะไปช่วยส่งเสริมการทำงานของฮอร์โมนให้กลับมาปกติ แต่หากท่านใดลองปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวแล้วยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวัดระดับฮอร์โมนในร่างกาย หากมีความผิดปกติแพทย์จะวิเคราะห์และแนะนำวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อการส่งเสริมให้ฮอร์โมนกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด Package ตรวจระดับสมดุลฮอร์โมน Human Placenta Extract (HPE) ปัญหาสุขภาพของผู้หญิงวัย 30

  • 10 วิตามินเสริม เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

    สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนในการมีลูก ไม่ว่าคุณจะตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ หรือเลือกใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่่นเด็กหลอดแก้ว ก็ไม่ควรมองข้ามการบำรุงไข่ให้มีคุณภาพที่ดี การบำรุงมดลูกรวมไปถึงร่างกายคุณแม่แข็งแรง วันนี้ไธรฟ์ เวลเนส แนะนำ 10 วิตามินที่จะมาช่วยบำรุงและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้กับคุณผู้หญิง 10 วิตามินที่ช่วยบำรุงและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ กรดโฟลิก (Folic Acid) เป็นวิตามินที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆของผู้ที่ต้องการตั้งครรภ์ ควรรับประทานกรดโฟลิกล่วงหน้าประมาณ 1-3 เดือน เพื่อช่วยป้องกันภาวะซีดหรือโลหิตจางที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อตั้งครรภ์ แก้อาการ อ่อนเพลีย ป้องกันภาวะซีดหรือโลหิตจาง ป้องกันโรค NCDs และโรคอัลไซเมอร์ ธาตุเหล็ก (Iron) ลดภาวะโลหิตจาง ช่วยช่วยในการสร้าง DNA และ RNA ที่ช่วยในการเติบโตของเซลล์ไข่ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับมดลูก อีกทั้งยังช่วยผลิตไข่ที่มีคุณภาพด้วย วิตามินบี 3 (Vitamin B3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น และรักษาสมดุลฮอร์โมนเพศ ทำให้การตกตกไข่เป็นไปตามปกติ วิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และกระดูก ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง และลดอาการนอนไม่หลับระหว่างตั้งครรภ์ วิตามินบี 12 (Vitamin B12) มีส่วนช่วยที่สำคัญที่ทำให้การตกไข่ตกตามปกติ และช่วยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และช่วยทางด้านสุขภาพและความรู้สึกทางเพศ แคลเซียม (Calcium) นอกจากจะช่วยเสริมกระดูกที่แข็งแรงแล้ว ยังมีความสำคัญในช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะเป็นช่วงที่กระดูกของทารกมีการพัฒนา การเจริญเติบโตมากที่สุด ไอโอดีน (Iodine) จำเป็นอย่างมากสำหรับการพัฒนาของต่อมไทรอยด์ เพราะระหว่างที่อยู่ในครรภ์ทารกจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ด้วยตัวเองได้แต่จะต้องพึ่งฮอร์โมนไทรอยด์จากแม่เท่านั้น เพื่อให้ต่อมไทรอยด์ของแม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้อย่างเพียงพอสำหรับตนเองและลูกน้อย การทานไอโดดีนเสริมจึงเปนสิ่งที่สำคัญ วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยลดภาวะเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันโรคหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยในการปกป้องเซลล์ไข่จากอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ไข่ และยังเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย สังกะสี (Zinc) ทำให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้รังไข่สามารถผลิตไข่คุณภาพดีมากยิ่งขึ้น โอเมก้า 3 (Omega 3) การทำงานของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นระบบประสาทที่เกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ มีส่วนช่วยเพิ่มคุณภาพของเซลล์ไข่ ช่วยเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ช่วยให้การตกไข่สมดุล และยังช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือด ทั้งนี้การเสริมวิตามินต่างๆแล้ว คุณผู้หญิงควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดหรือกังวลมากจนเกินไป เพื่อเตรียมพร้อมเป็นว่าที่คุณแม่ หากใครยังไม่ทราบว่าควรเริ่มต้นดูแลตัวเองจากตรงไหนให้ ไธรฟ์ เวลเนส คลินิก ช่วยดูแลสุขภาพและเตรียมพร้อมก่อนเป็นคุณแม่ ด้วยการตรวจฮอร์โมน AMH Hormone เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากรังไข่ บ่งบอกความสามาถในการทำงานของรังไข่ หรือบอกจำนวนไข่ที่สามารถผลิตได้ ซึ่งอยู่ในแพคเกจ Family Planning Check Up ♀️Package ตรวจคุณผู้หญิง 15 รายการ / 11,800.- ♂️Package ตรวจคุณผู้ชาย 19 รายการ / 6,780.- 🩺ปรึกษาคุณหมอเพื่อประเมินการวางแผนเพื่อเตรียมตัวมีบุตร ฮอร์โมน AMH Hormone ภาวะเลือดจาง ส่งผลให้มีลูกยากจริงไหม!! ภาวะหมดประจำเดือนที่ผู้หญิงต้องเจอ

  • ประจำเดือนมามากผิดปกติ สาเหตุมาจากอะไร?

    สำหรับภาวะประจำเดือนมามาก (Menorrhagia) หรือประจำเดือนมาเยอะผิดปกติ ในปัจจุบันมีผู้หญิงหลายๆคนกำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ไม่ใช่น้อยและมีอีกหลายคนที่มองข้าม เพราะยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วประจำเดือนมาเยอะเกิดจากสาเหตุอะไร อันตรายมากน้อยแค่ไหน หรือการที่ประจำเดือนมาเยอะจะบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนอะไรได้หรือเปล่า ประจำเดือนมามากผิดปกติคือ อาการประจำเดือนมามาก สาเหตุของประจำเดือนมามาก ประจำเดือนมามากส่งผลเสียอย่างไร ประจำเดือนมามากผิดปกติ (Menorrhagia) คือ ประจำเดือนมากผิดปกติ (Menorrhagia) คือ เลือดประจำเดือนที่ไหลออกมาปริมาณเยอะหรือมากผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1 ชั่วโมง หรือประจำเดือนมานานเกินกว่า 7 วัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และยังเป็นสัญญาณเตือนถึงสุขภาพภายในอีกด้วย อาการประจำเดือนมามาก ที่ผิดปกติ มีประจำเดือนติดต่อกันนานเกิน 7 วัน ประจำเดือนมาเยอะจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1 ชั่วโมง ประจำเดือนมาเยอะจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยในช่วงกลางดึกด้วย มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ไหลปะปนออกมากับประจำเดือนเรื่อยๆ เมื่อใกล้เข้าสู่วัยทอง แทนที่ประจำเดือนจะลดน้อยลงแต่กลับมามากกว่าปกติ สาเหตุของประจำเดือนมามาก ผิดปกติ ฮอร์โมนไม่สมดุล หรือฮอร์โมนผิดปกติ เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในร่างกายไม่สมดุล อาจส่งผลกระทบต่อการตกไข่และการมีประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนมามากกว่าปกติได้ เนื่องจากเกิดการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกหนาจนเกินไป ซึ่งทำให้มีเลือดประจำเดือนมาเยอะนั่นเอง การใช้ยาบางชนิด ประจำเดือนมามากผิดปกติ อาจเกิดจากการใช้ยาบางตัว เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด การให้เคมีบำบัด การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด และยาละลายลิ่มเลือด เป็นต้น สัญญาญมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก เพราะมดลูกมีความเชื่อมโยงกับประจำเดือน หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นอาจจะส่งผลทำให้ประจำเดือนมามาก หรือมานานกว่าปกติได้ เช่น เนื้องอกในมดลูก, มะเร็งรังไข่, มะเร็งปากมดลูก, ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS), อุ้งเชิงกรานอักเสบ, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis), ติ่งเนื้อที่ปากมดลูกหรือโพรงมดลูก เป็นต้น มักจะมีอาการปวดท้องประจำเดือนร่วมด้วย ปัญหาจากโรคต่างๆ โดยโรคบางชนิดสามารถส่งผลต่อประจำเดือนที่มาผิดปกติได้ เช่น เนื้องอกต่อมใต้สมอง, ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ, โรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ รวมไปถึงการติดเชื้อในช่องคลอดหรือมดลูกก็ส่งผลให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาเยอะผิดปกติได้เช่นกัน ประจำเดือนมามากผิดปกติ ส่งผลเสียอย่างไร เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เพราะระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในเลือดต่ำ เนื่องจากธาตุเหล็กในร่างกายลดน้อยลง ส่งผลให้ ผิวซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เป็นต้น ปวดท้องขั้นรุนแรง โดยส่วนมากคนที่มีประจำเดือนมาเยอะมักจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย โดยจะรู้สึกปวดบีบบริเวณท้องน้อยอย่างรุงแรง สำหรับบางคนอาจจะต้องใช้ยาเพื่อลดอาการดังกล่าง หรือสำหรับบางคนอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดเลยก็เป็นได้ ทั้งนี้การตรวจหาสาเหตุของประจำเดือนมาเยอะผิดปกติ เริ่มได้จากการตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพื่อเช็กความผิดปกติของระดับฮอร์โมนที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวได้ กับแพคเกจ 𝐓𝐨𝐭𝐚𝐥 𝐇𝐨𝐫𝐦𝐨𝐧𝐞 ตรวจ 17 รายการ เพื่อช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุล หากใครมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบถึงระดับบฮอร์โมนแต่ละชนิดในร่างกายสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยตรวจ วิเคราะห์ และวางแผนการดูแลระดับฮอร์โมนให้เกิดความสมดุลได้อย่างเหมาะสม Package ตรวจระดับสมดุลฮอร์โมน

  • เข้านอนไว แต่หลับจริงๆเที่ยงคืนตี 1 คุณอาจต้องพึ่ง Melatonin

    อาการนอนไม่หลับถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงวัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ แต่ท่านสามารถป้องกันได้จากการเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ในช่วงเวลาเย็นหรือก่อนเข้านอน หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังพบว่าปัญหาการนอนหลับยากยังไม่หายไป อาจต้องรับประทานวิตามินหรือฮอร์โมนเพื่อไปเสริมให้การนอนหลับง่ายยิ่งขึ้น โดยฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อให้รู้สึกง่วงนอน คือ เมลาโทนิน (Melatonin) เมลาโทนิน(Melatonin)คืออะไร ประโยชน์ของเมลาโทนิน ข้อเสียของเมลาโทนินหากใช้เยอะ เมลาโทนิน (Melatonin) คืออะไร? เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนที่สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ที่ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ในสมอง สารเมลาโทนินเปรียบเสมือนผู้คุมระฆังบอกเวลา โดยมีความมืดเป็นตัวกระตุ้นให้หลั่งเมลาโทนินเข้าสู่กระแสเลือด โดยร่างกายจะเริ่มหลั่งเมลาโทนินออกมาตั้งแต่ช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินทำให้เรารู้สึกง่วงนอนและระดับฮอร์โมนเมลาโทนินจะคงอยู่ในกระแสเลือด ติดต่อกันถึง 12 ชั่วโมง ก่อนที่ระดับฮอร์โมนเมลาโทนินจะลดลงตอนเช้า ประโยชน์ของเมลาโทนิน รักษากลุ่มอาการนอนหลับผิดเวลา (Delayed Sleep Phase Syndrome) เช่น มีความผิดปกติด้านการนอนหลับ หรือไม่สามารถนอนหลับได้ก่อนเวลา 2.00 น. โดยหากเสริมฮอร์โมนเมลาโทนินและปรับเวลาการนอนให้เหมาะสมจะสามารถช่วยรักษาอาการดังกล่างได้อย่างดี รักษาโรคนอนไม่หลับ (Insomnia) ซึ่งเป็นโรคที่มักพบได้บ่อยที่สุด ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยเมลาโทนิน และยังช่วยให้การนอนหลับของคุณมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น บรรเทาอาการเจ็ตแล็ก (Jet Lag) จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนของเขตเวลาได้ มักจะเกิดขึ้นเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศจะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายตัว ซึ่งการใช้เมลาโทนินจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ โดยปกติเมลาโทนินในรูปแบบอาหารเสริมควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมคือ 1.5-3 มิลลิกรัม/ครั้ง และไม่ควรใช้เกิน 5 มิลลิกรัม/ครั้ง เพราะอาจทำให้ส่งผลเสียตามมาดังนี้ รู้สึกปวดหัว มึนหัว มีอาการง่วงระหว่างวัน ปวดท้อง วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย ภาวะซึมเศร้าระยะสั้น เมื่อคุณมีภาวะนอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก อาจมีผลมาจากความเครียดสะสม ความวิตกกังวล การเสริมเมลาโทนินจะช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับของคุณได้ หากเสริมเมลาโทนิน (Melatonin) แล้วยังไม่สามารถนอนหลับได้ คุณอาจจะต้องตรวจเช็กระดับฮอร์โมน ถ้าเกิดความเครียดสะสมมากๆจนนอนไม่หลับอาจจะเป็นเพราะต่อมหมวกไตล้า จากการที่ผลิตฮอร์โมนคอร์ดิซอล (Cortisol) ออกมาสู้กับความเครียดเยอะจนเกินไป ทั้งนี้หากคุณเริ่มมีอาการนอนไม่หลับคุณสามารถเข้ามาตรวจฮอร์โมนเพื่อเช็กระดับฮอร์โมนในร่างกาย หากมีความผิดปกติหรือไม่สมดุลแพทย์จะแนะนำ และออกแบบวิธีการรักษาที่เหมาะกับตัวคุณ Package 𝐓𝐨𝐭𝐚𝐥 𝐇𝐨𝐫𝐦𝐨𝐧𝐞 ตรวจ 17 รายการ ราคา 17,190 บาท Package ตรวจระดับสมดุลฮอร์โมน

  • GABA สารสกัดจากจมูกข้าวช่วยลดอาการหลับๆตื่นๆ

    กาบา (GABA) คืออะไร กาบา (GABA) คือ สารสื่อประสาทที่มีความสำคัญในระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System : CNS) ซึ่งทำหน้าที่ลดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง และรักษาสมดุลในสมองให้เกิดความผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล และยังช่วยควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อต่างๆ ทำให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ร่างกายเข้าสู่ภาวะการนอนหลับได้ง่าย และช่วยให้นอนหลับสนิทมากยิ่งขึ้น ประโยชน์ของกาบา (GABA) เพิ่มคุณภาพในการนอนหลับ มีส่วนช่วยลดอาการซึมเศร้า บรรเทาความวิตกกังวล ช่วยขจัดความเครียด ลดการเกิดอาการอัลไซเมอร์ ช่วยควบคุมความดันโลหิต ช่วยยัยยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (premenstrual syndrome : PMS) รักษาโรคสมาธิสั้น (attention deficit-hyperactivity disorder : ADHD) กาบา (GABA) ที่มาจากจมูกข้าว กาบา (GABA) คือ กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่พบได้ในธรรมชาติ โดยจะถูกสร้างจากจมูกข้าวในช่วงที่ข้าวกำลังเจริญเติบโต กาบามีประสิทธิภาพในการยังมีส่วนช่วยลดอาการปวดหัว มีส่วนช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ ซึ่งส่งผลทำให้นอนหลับได้ดี ช่วยลดภาวะความเครียดได้ แถมยังมีประโยชน์ในการลดริ้วรอยผิวและปกป้องการเสื่อมของเซลล์ผิวอีกด้วย กาบา (GABA) พบได้พบได้จากที่ไหนอีกบ้าง อาหารหมัก เช่น กิมจิ ปลาหมักเกลือ เทมเป้ นมเปรี้ยว ชีส ขนมปังแป้งซาวโดวจ์ เบียร์มัลเบอรี่ สาเก โยเกิร์ต เป็นต้น อาหารทั่วไป เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวกล้อง ข้าวกล้องงอก มะเขือเทศ ผักโขม ผักเคล บล็อคโคลี่ มันหวาน เห็ดชิตาเกะ เกาลัด ชาขาว เป็นต้น ดังนั้นกาบา (GABA) จึงมีความสำคัญต่อการนอนหลับอย่างมาก เพราะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับสนิทได้ตลอดทั้งคืน หากใครต้องการเสริมกาบาเพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องการนอน ต้องเลือกกาบ้าที่ได้คุณภาพ และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูความเหมาะสมของปริมาณ

  • Magnesium แร่ธาตุตัวสำคัญ ช่วยให้คุณนอนหลับง่ายขึ้น

    หลายๆคนอาจจะกำลังเจอกับปัญหานอนหลับยาก ใช้เวลานานกว่าจะหลับ จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าง่าย ง่วงนอนระหว่างวัน อาจทำให้เกิดปัญหาในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นการรับประทานวิตามินเสริมจึงช่วยแก้ปัญหานอนหลับยากได้ คือ แมกนีเซียม (Magnesium) แมกนีเซียม (Magnesium) คืออะไร แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ทั้งระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูก และหัวใจ ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ ทำให้การเต้นของหัวใจมีจังหวะที่ปกติ และเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงอีกด้วย แมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้หลับง่ายขึ้นอย่างไร กลไกของแมกนีเซียมที่มีต่อการนอนหลับก็คือ แมกนีเซียมจะเพิ่มสารสื่อประสาท GABA (Gamma Amino Butyric Acid) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง ช่วยเพิ่มการผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล ช่วยให้หลับลึกขึ้น ทำให้นอนหลับได้สนิทเพิ่มมากขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมายามเช้าจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น รู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุข ซึ่งแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย Magnesium คือ ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม ปวยเล้ง คะน้า บรอกโคลี ตำลึง ผลไม้ เช่น กล้วยหอม อโวคาโด้ ฝรั่ง ราสเบอร์รี่ มะละกอ แบล็คเบอร์รี่ ถั่วและธัญพืช ก็จะพบมากใน อัลมอนด์ ถั่วดำ เมล็ดฟักทอง เป็นต้น หากร่างกายขาดแมกนีเซียม (Magnesium) หรือมีภาวะเครียด วิตกวังกัล จึงส่งผลให้หลับยากหรือใช้เวลานานกว่าจะหลับ อาจเลือกการเสริม Magnesium ก่อนนอน ทั้งนี้หากคุณต้องการทราบถึงระดับวิตามินแร่ธาตุในร่างกายสามารถเช็กได้ด้วยการตรวจ Oligoscan ที่สามารถตรวจหาโลหะหนักได้ถึง 15 รายการ และวิตามินแร่ธาตุ 21 รายการ แพทย์จะวิเคราะห์ผลตรวจหากคุณมีวิตามินที่น้อยหรือมากจนเกินไป เพื่อการเสริมและรักษาที่ตรงจุด ตรวจสารพิษโลหะหนักด้วย Oligoscan

  • Placen-Tac สารสกัดที่ได้จากรก เพื่อคืนความสาวให้กับคุณผู้หญิง

    Placen-Tac คือ สารสกัดที่ได้จากรก (Placenta) ซึ่งในรกจะมีสารอาหารค่อนข้างหลากหลายทั้งแร่ธาตุ และฮอร์โมนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตเจน (Estrogen), โปรเจสเตอโรน (Progesterone), FSH (Follicle Stimulating Hormone), Beta-HCG (Human Chorionic Gonadotropin), เทสโทสเตอโรน (Testosterone) จึงช่วยเป็นตัวช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนตามธรรมชาติ แบบอ่อนๆได้เป็นอย่างดี ข้อดีของการฉีด Placen-Tac ปลอดภัยกว่าการใช้ยาฮอร์โมนเนื่องจาก Placen-Tac เป็นสารสกัดมาจากธรรมชาติ ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และยังช่วยเรื่องผิวพรรณของคุณผู้หญิง เป็นสารสกัดที่ไม่มีโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) และไม่มี Stemcell ที่อาจะเป็นตัวกระตุ้นเซลล์มะเร็ง ฉีดต่อเนื่องได้ทุกสัปดาห์ ใครที่ควรฉีด Placen-Tac เหมาะสำหรับเพศหญิงเมื่อเข้าสู่วัยใกล้หมดประจำเดือน หรือหมดประจำเดือน สำหรับคนที่ประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ สำหรับคนที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาไม่ปกติ สำหรับผู้ที่มีอาการ Adrenal Fatigue เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย สะสม ใครที่ไม่ควรฉีด Placen-Tac ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร คนที่กำลังเป็นหวัดหรือป่วย หรืออยู่ระหว่างพักฟื้น ผู้หญิงที่กำลังเป็นประจำเดือน หากฉีด Placen-Tac จะไปกระตุ้นให้ประจำเดือนออกมากกว่าปกติ ข้อห้ามสำหรับคนที่กำลังจะฉีด Placen-Tac สำหรับคนที่มีก้อนเนื้อที่เต้านมและในมดลูกไม่ควรฉีด Placen-Tec ที่ได้จะผ่านการทดสอบและตรวจ Screen ว่าไม่มีโรคติดต่อปนเปื้อน ปราศจากแบคทีเรียและเชื้อรา ก่อนที่จะนำมาฉีด และมีเอกสาร Certificate จากห้องแลป เพื่อใช้ในการตรวจสอบก่อนนำมาใช้จริง จึงมั่นใจในความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน ท่านสามารถเข้ารับคำปรึกษาเพื่อดูแลสมดุลฮอร์โมน ด้วย Human Placenta Extract (HPE) กับแพทย์ด้าน Anti-Aging ที่ไธรฟ์ เวลเนสคลินิก เนื่องจาก และต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสมของอาการ ต้องได้รับการตรวจประเมิณ และวางแผนการรักษาโดยแพทย์ Human Placenta Extract (HPE)

  • Human Placenta Extract (HPE)

    Human Placenta Extract (HPE) Human Placenta Extract (HPE) คือ สารสกัดจากรกบริสุทธิ์ ที่รวบรวมสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมากมายเข้าไว้ด้วยกัน มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับใช้กับร่างกายของเรา ในการรักษาสุขภาพ ผิวพรรณและความงาม เพราะ รก คือ แหล่งรวบรวมสารอาหาร ทั้ง Stemcell, Growth hormone, แร่ธาตุ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้เด็กในครรภ์เจริญเติบโต Human Placenta Extract สามารถช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูระบบการทำงานของร่างกายให้กลับมีชีวิตชีวา ช่วยกระตุ้นการสร้าง Growth Hormone ให้มากขึ้นกว่าปกติถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสื่อมสภาพของร่างกายที่ลึกถึงระดับเซลล์ ข้อมูลจาก: https://tionbiotech.com/ —------------------------------------------------------------------------------- การนำเซลล์ต้นกำเนิดจากรกมาใช้ประโยชน์ในการรักษาสุขภาพ ผิวพรรณและความงาม ซึ่งประกอบไปด้วยสารเป็บไทด์ต่างๆมากกว่า 8,000 ชนิด/ เอนไซม์กว่า 1,400 ชนิด ซึ่งสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกายของคนเรา ร่างกายจึงดูดซึมได้ง่าย ส่งผลให้เซลล์ต่างๆของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 1.ชะลอความแก่ (Anti-Aging) มนุษย์เมื่อหลังอายุ 40 ปีขึ้นไปแล้วผิวหนังจะเริ่มมีร่องรอยของความชราภาพ ซึ่งการใช้ Placenta หรือสารสกัดจากรกจะทำให้มีการกระตุ้นต่อมฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงาน เซลล์ผิวหนัง (Fibroblast) ได้รับการซ่อมแซมจะผลิตโปรตีนคอลลาเจนและอิลาสตินทำให้ผิวหนังเต่งตึง ลบริ้วรอย ดูหนุ่มสาวขึ้นไม่น้อยกว่า 5 ปี 2.ผู้หญิงวัยทอง Placenta มีผลดีต่อสภาวะวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน และบรรเทาโรคเฉพาะของสตรี เช่น อาการปวดประจำเดือน น้ำนมไม่มีพอเลี้ยงบุตร ความเย็นชาเวลาร่วมเพศของสตรี การไม่มีความรู้สึกกำหนัด สภาวะเนื้อเยื่อลักษณะเหมือนเยื่อบุมดลูกแต่ไม่อยู่ในมดลูกโดยไปเกิดผิดที่ไปอยู่ตามที่ต่างๆนอกโพรงมดลูก การใช้ Placenta ทำให้ไม่ต้องใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงวัยทอง จึงลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจากการใช้ฮอร์โมนสตรี 3.วัยทองของผู้ชาย Andropause มักเกิดช่วงอายุประมาณ 60 ปี มีอารมณ์หงุดหงิดใจน้อย อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ฉุนเฉียวง่าย นอนไม่หลับ กล้ามเนื้อเหี่ยว และขี้ลืม Placenta จะช่วยรักษาสภาวะความเป็นชายหรือโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อมตามอายุที่สูงขึ้นให้คืนกลับมาเป็นหนุ่มย้อนหลังได้ประมาณ 10 ปี โดยพบว่าจะกลับมีความสมดุลของฮอร์โมน ทำให้เกิดพลังกำลังอวัยวะเพศแข็งตัวเพิ่มความต้องการทางเพศ นอกจากนี้ต่อมลูกหมากที่โตมักจะเกี่ยวพันกับความไม่สมดุลของฮอร์โมน เป็นเหตุให้ต่อมลูกหมากโตกว่าปกติโดยร่างกายควบคุมไม่ได้ การใช้การรักษาโดย Placenta จึงมีความสำคัญมาก 4.แก้ไขปัญหาเรื่องผิวด่างดำ ฝ้า สิว รอยแผลเป็นคีรอยด์ ( Keloid ) และริ้วรอย เนื่องจากสารสกัดจาก placenta มีการกระตุ้นสร้าง FGF ( Fibroblast growth factor ) และ EGF ( Epithelium growth factor ) เป็นจำนวนมาก ซึ่งเซลล์ในชั้นหนังแท้จะกระตุ้นการผลิต collagen elastin และ กรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวที่เสียหายให้กลับมาดูสดใส อ่อนเยาว์ พร้อมทั้งมีการยับยั้งเอนไซน์ ไทรโรซิเนส ( tyrosinase ) ที่เป็นตัวก่อเม็ดสีเมลานิน ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้ากระ นั้นเอง ดังนั้นการฉีด PGF จึงช่วยย้อนอายุของผิวได้อย่างเห็นผล 5.ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Circulation System) การทำให้ร่างกายส่วนต่างๆได้รับโลหิต สารอาหาร และออกซิเจนเพิ่ม ทำให้ความแข็งแกร่งกลับมาเป็นปกติ ถึงแม้จะมีอายุมากและสุขภาพเสื่อมโทรม เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้นผิวจะกลับสดใสและมีไออุ่นเพียงในเวลา 3 วันเท่านั้น และผิวจะตึงขึ้น ริ้วรอยจะเลือนหายใน 4 อาทิตย์ ทั้งนี้เป็นผลจากหลอดเลือดกลับยืดหยุ่นขึ้น ปรับสภาพของการแข็งตัวของหลอดโลหิตแดงเนื่องจากสูงอายุ และทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดำที่เสื่อมคืนสภาพ เมื่อมีเลือดไหลเวียนไปสมองมากขึ้น อาการเสียงดังในหูจะหายไป ปวดศีรษะข้างเดียวปวดไมเกรมจะทุเลา ลดอาการวิงเวียน และยังได้ประโยชน์กับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการแทรกซ้อนอีกด้วย 6.ป้องกันและรักษาโรคแห่งความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคข้อและกระดูกเสื่อมของข้อเข่า สะโพก และบริเวณหลัง เป็นต้น 7.ปรับระบบภูมิต้านทาน ในปัจจุบันโรคที่เกิดใหม่ๆมักจะเกี่ยวพันกับระบบภูมิต้านทาน แต่ Placenta มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลของภูมิต้านทาน โรคหลายชนิดต่อมาภายหลังจึงทราบว่าเกิดจากภูมิคุ้มกันตนเองบกพร่อง (Autoimmune Diseases) คือระบบภูมิต้านทานของตนเองกลับหันมาโจมตีตัวเองแทนที่จะไปปราบปรามผู้บุกรุก เช่น โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคลูปัส (โรคพุ่มพวง) โรคที่เกิดเฉพาะภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเริม วัณโรค สภาวะอันเกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.wincellresearch.com/fresh-human-placenta-extract/ —------------------------------------------------------------- Human Placenta Extract (HPE) HPE มีให้เลือกหลายขนาดความเข้มข้น ซึ่งแต่ละชนิดจะประกอบด้วย สารอาหารที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฮอร์โมน, Growth Factor, แร่ธาตุ ตัวอย่าง HPE ที่นิยมใช้ Placen-tac, PPGF (Placenta Growth Factor), BodyGrowth, HiTesto เป็นต้น เป็นสารสกัดแบบสด (ต้องเก็บในอุณหภูมิ) ผ่านการ Test เชื้อโรค หรือโรคติดต่อทางเลือดแล้ว ท่านสามารถเข้ารับคำปรึกษาเพื่อดูแลสมดุลฮอร์โมน ด้วย Human Placenta Extract (HPE) กับแพทย์ด้าน Anti-Aging ที่ไธรฟ์ เวลเนสคลินิก เนื่องจาก และต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสมของอาการ ต้องได้รับการตรวจประเมิณ และวางแผนการรักษาโดยแพทย์ *( ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน )*** Reference: https://tionbiotech.com/ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/18090035/ Link to: https://www.thrivewellnessth.com/growth-factor Hormone Placen-Tac:

  • PMS อาการก่อนเป็นประจำเดือน คืออะไร

    โดยปกติผู้หญิงที่มีประจำเดือนมักจะมีอาการก่อนที่ประจำเดือนจะมาอย่างน้อย 2-3 วัน ซึ่งจะมีอาการปวดท้องน้อย หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่คงที่ เราจะเรียกอาการเหล่านี้ว่า PMS (Premenstrual Syndrome) และอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อประจำเดือนมาประมาณ 3 วัน PMS คืออะไร อาการที่พบบ่อยของ PMS สาเหตุของ PMS วิธีป้องกัน PMS (Premenstrual Syndrome) คืออะไร PMS (Premenstrual Syndrome) หรือ อาการก่อนเป็นประจำเดือน คือ อาการที่มักเกิดขึ้นก่อนประจำเดือนมา ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน(Progesterone) ในช่วงก่อนมีประจำเดือน โดยอาการเหล่านี้มักจะมีผลกระทบและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของสาวๆหลายคน เพราะอาการของ PMS จะส่งผลทางด้านร่างกายและทางด้านอารมณ์เป็นส่วนมาก อาการที่พบได้บ่อยของ PMS อาการทางด้านร่างกาย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดท้องน้อย เจ็บเต้านม ท้องผูกหรือท้องเสีย น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีสิวขึ้น ปวดหลัง อาการทางด้านอารมณ์ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย รู้สึกเครียด ไม่มีสมาธิ รู้สึกซึมเศร้า ร้องไห้กับเรื่องเล็กน้อย รู้สึกวิตกกังวล รู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ หรือเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ สาเหตุของ PMS นอกจากจะเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน(Progesterone) มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่มีการตกไข่เพราะระดับฮอร์โมนเพิ่มมากว่าปกติแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆร่วมด้วยดังนี้ ปัจจัยภายใน การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง เมื่อระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ลดต่ำลง จะส่งผลต่อทางด้านอารมณ์และกระตุ้นให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือนได้ ปัจจัยภายนอก ตัวเราเองหรือคนในครอบครัวมีโรคประจำตัวและภาวะผิดปกติทางอารมณ์ เช่น อาการปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea), โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder), ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression), ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder), ภาวะวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder), โรคจิตเภท (Schizophrenia) และโรคไบโพลาร์ (Bipolar) คนในครอบครัวมีประวัติของ PMS พฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง เช่น การใช้สารเสพติด การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารรสจัดและอาหารแปรรูป ความเครียด การไม่ออกกำลังกาย และการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการ PMS รุนแรงขึ้น วิธีป้องกันการเกิดอาการของ PMS เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียมและใยอาหาร เช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือ น้ำตาล ไขมันสูง และรับประทานอาหารโดยการแบ่งเป็นมื้อย่อยๆในแต่ละวัน เพื่อลดอาการท้องอืด ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอาการซึมเศร้า เช่น เดินเร็ว ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ลดความเครียด เช่น การเล่นโยคะ การนวดผ่อนคลาย หากิจกรรมที่มีความสนใจทำ อาการของ PMS มักจะหายได้เองหลังจากมีประจำเดือน หากมีอาการปวดท้อง หงุดหงิด ยังถือว่าเป็นอาการที่ยังปกติไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่ถ้าหากส่งผลให้เกิดความเครียดรุนแรง หรือประจำเดือนมามากกว่าปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนจะแนะนำและวางแผนในการรักษา

  • World Suicide Prevention Day วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก

    World Suicide Prevention Day วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ตรงกับวันที่ 10 กันยายนของทุกปี ถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักให้ทั่วโลกมองเห็นและให้ความสำคัญกับการป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้ประมาณการณ์ไว้ว่ามีคนฆ่าตัวตายในแต่ละปีมากกว่า 800,000 คน หรือพบว่ามีคนฆ่าตัวตาย 1 คนต่อ 40 วินาที Theme World Suicide Prevention Day ในปี 2023 “Creating Hope Through Action” การช่วยเหลือด้วยการส่งเสริมความเข้าใจ การเข้าถึง และการแบ่งปันประสบการณ์ สร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในการจัดการเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย ทุกคนสามารถเป็นแสงสว่างให้กับผู้ที่เจ็บปวดได้ 3 ปัญหาการฆ่าตัวตาย วิธีเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย 3 ปัญหาการฆ่าตัวตาย เริ่มต้นป้องกันได้จาก การมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (Connect) ไม่ทำให้รู้สึกห่างเหินจนเกินไปและไม่ใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินไป คนในครอบครัวต้องมีบทบาทหน้าที่ชัดเจน สื่อสารดีต่อกัน (Communicate) การสื่อสารที่ดีควรเป็นการสื่อสารที่สื่อจากความรู้สึกของตัวเองโดยตรง เช่น บอกความรู้สึกความต้องการอย่างจริงใจ และถามความเห็นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสนใจในความรู้สึก รู้จักชื่นชมและขอบคุณเพื่อเพิ่มความรู้สึกที่ดีต่อกัน หรืออาจจะแสดงออกด้วยการ ยิ้ม จับมือ โอบกอด การสัมผัส จะช่วยสร้างพลังทางใจได้เป็นอย่างดี เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน (Care) ให้เวลากับคนในครอบครัวให้มากๆ ใช้เวลาในทำกิจกรรมร่วมกัน เมื่อคนในครอบครัวมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น ก็พร้อมช่วยเหลือดูแล วิธีเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย คอยสังเกตคนรอบข้าง หากใครมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น มีความเครียด รู้สึกกังวล รู้สึกโกรธ รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระ เป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์รุนแรง ใช้ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์หนัก เริ่มพูดถึงหรือหาวิธีการฆ่าตัวตาย ให้เราคอยอยู่ข้างๆเปิดใจรับฟังปัญหาของเขาและอย่าตัดสินใจแทนเขา บ่งชี้กลุ่มเสี่ยงที่มีอาการทางจิตเวช (mental disorder) หรือโรคทางจิตเวชที่เกิดจากการใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติด อาการปวดเรื้อรัง ภาวะเครียดสะสม ควรทราบอาการล่วงหน้า เพื่อให้สามารถจัดการรักษาและดูแลได้อย่างทันท่วงที แนะนำญาติหรือบุคคลใกล้ชิดเก็บอุปกรณ์ที่สามารถใช้ฆ่าตัวตายหรือสารพิษต่างๆให้พ้นจากผู้ที่มีความเสี่ยง อย่าให้ผู้ที่มีอาการเหล่านี้อยู่คนเดียว พยายามให้ผู้ที่คิดฆ่าตัวตายได้ระบายความในใจให้ได้มากที่สุด การป้องกันการฆ่าตัวตายถือเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่และซับซ้อนอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพียงคนเดียว แต่จะต้องขอความร่วมมือจากหลายๆบุคคลรอบตัว เพราะการอยากฆ่าตัวตายมักเป็นผลมาจาก ความเครียดสะสม หมดกำลังใจ รู้สึกไม่มีค่า เป็นโรคซึมเศร้า เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองเกิดความไม่สมดุล ฉะนั้นเมื่อเราเกิดความเครียดสะสมมากๆและกลัวจะส่งผลมาถึงจุดนี้เราสามารถมาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็กความสมดุลของสารสื่อประสาท และให้แพทย์ออกแบบการรักษาได้อย่างตรงจุดเพื่อช่วยลดปัญหาการฆ่าตัวตายได้อีกด้วย กล้าที่จะปกป้องตัวเอง ด้วยการรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักจิตบำบัด #WorldSuicidePreventionDay Urine Organic Profile Test Bach flower

bottom of page